การเมืองไทย










VS




เป็นการต่อสู้ในเส้นทางของวงจรอุบาตที่ไม่มีวันสิ้นสุด

เห้ออออ ถอนหายใจแล้วก็ถอนหายใจอีก

การเมืองไทยเมื่อไรจะได้เป็นการเมืองไทยที่สมบูรณ์เสียที

หวังว่าการเมืองไทยจะฟื้นฟูในอนาคตเมื่อรถึงรุ่นพวกเรา



ล้อการเมือง(มันก็คือความจริงนั้นแหละมั้ง)







วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ปชป.เตรียมเรียกประชุม ส.ส.

ปชป.เตรียมเรียกประชุม ส.ส.


พรรคประชาธิปัตย์เตรียมเรียกประชุม สส. เพื่อประเมินสถานการณ์และเตรียมอภิปรายร่วม 2 สภา ที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ หลังมีเหตุรุนแรงเมื่อวานนี้ ขณะเดียวกันตั้งข้อสังเกตุ ให้จับตามองบทบาทของหัวหน้าพรรคชาติไทย ที่เป็นผู้เรียกประชุมพรรคร่วมรัฐบาล แทนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีนายแพทย์บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยนายเทพไท เสนพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรค และ นายบุญยอด สุขถิ่นไทย สส.กทม.ได้ร่วมกันแถลงข่าวเรียกร้องให้ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีแสดงความรับผิดชอบกับเหตุการณ์รุนแรงเมื่อวานนี้ เพราะก่อนหน้านี้ นายสมัครได้มีการประกาศว่าจะไม่ใช้ความรุนแรงและจะอดทนอดกลั้น แต่ขณะเดียวกันมีการปฏิบัติตรงกันข้ามซึ่งตั้งข้อสังเกตุว่า การดำเนินการของตำรวจเป็นการฝ่าฝืนคำสั่ง หรือได้รับคำสั่งจากรัฐบาล นอกจากนี้หลังเกิดเหตุการณ์ หัวหน้าพรรค ปชป.ได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่าตำรวจได้ห้ามรถพยาบาลเข้าบริเวณที่เกิดเหตุตั้งแต่เวลา 10.00-15.00 โดยอนุญาตให้เฉพาะการ์ดอาสาของกลุ่มพันธมิตรเข้าไปรับผู้บาดเจ็บออกมาจากพื้นที่เท่านั้นซึ่งเรื่องนี้ถือว่าขัดกับหลักกฎหมายสากล เพราะแม้แต่ภาวะสงครามก็จะอนุญาตให้หน่วยแพทย์พยาบาลเข้าไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บได้ นอกจากนี้นายเทพไท ยังขอให้จับตามองการนัดประชุมของพรรคร่วมรัฐบาลเมื่อคืนนี้ ที่นายบรรหารเป็นผู้เรียกประชุม ซึ่งถือว่าเป็นการแย่งชิงภาวะผู้นำของนายสมัคร สุนทรเวช ดังนั้นจึงขอให้จับตาดูการเคลื่อนไหวของนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวพน้าพรรคชาติไทยต่อไป และขอเรียกร้องให้รัฐบาลอย่าผูกขาดการแก้ปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้เพียงฝ่ายเดียว แต่ควรที่จะให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งจะช่วยให้คลี่คลายสถานการณ์ได้ และไม่ควรใช้สื่อของรัฐในการระดมประชาชน และเห็นด้วยที่พรรคร่วมรัฐบาลจะให้มีการเปิดประชุมร่วม 2 สภาซึ่งเป็นแนวคิดของนายอภิสิทธิ์ เวชชาาชีวะ หัวหน้าพรรค ปชป.ที่เป็นผู้เสนอแนวคิดนี้เป็นคนแรก ขณะเดียวกันขอบคุณกองทัพไทยที่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย ไม่เข้าไปแทรกแซง อย่างไรก็ตามในวันนี้พรรคประชาธิปัตย์จะมีการเรียกประชุม สส. เพื่อประเมินสถานการณ์ และเตรียมพร้อมในการอภิปรายร่วม 2 สภา ที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้
(30/08/51)


วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2551

พันธมิตรฯ เกณฑ์คน 5,000 คนปิดล้อมเอ็นบีที ถ.เพชรบุรีตัดใหม่



สะพานมัฆวานรังสรรค์ 26 ส.ค.- พันธมิตรฯ เกณฑ์คน 5,000 คน ไปปิดล้อมเอ็นบีที ที่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ เป้าหมายไม่ต้องการให้เอ็นบีทีแพร่ภาพถาวร
การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ เมื่อเวลาประมาณ 13.30 น. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ได้ขึ้นเวทีอีกครั้ง ขอให้ผู้ชุมนุมจำนวน 800 คน เดินทางไปร่วมชุมนุมสมทบที่หน้าสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที วิภาวดี โดยขึ้นรถ 6 ล้อ จำนวน 4 คันที่จัดเตรียมไว้
จากนั้น นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ขึ้นเวทีประกาศยุทธศาสตร์ใหม่ จะใช้แผนนำคน 5,000 คนไปปิดล้อมสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีที่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ เพื่อปิดฉากเอ็นบีที เพราะขณะนี้ยังออกอากาศได้อยู่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ตั้งแต่ช่วงเช้า ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ซึ่งถือเป็นจุดศูนย์กลางการชุมนุม ช่วงเช้าเมื่อเวลา 07.30 น. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ สลับกันขึ้นเวทีปราศรัย โดยมีการจัดกำลังของกลุ่มผู้ชุมนุมออกเป็นชุด ๆ ละ 500 คน เพื่อกระจายไปยังจุดยุทธศาสตร์ สถานที่ราชการต่าง ๆ ที่พันธมิตรฯ จะไปปิดล้อม ทั้งทำเนียบรัฐบาล กระทรวงคมนาคม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ แยก จปร. กองบัญชาการตำรวจนครบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สถานีโทรทัศน์เอ็นบีที
หลังจากนั้น เมื่อเวลา 08.45 น. นายสนธิ กล่าวบนเวทีว่า ขณะนี้มีสื่อมวลชนเสนอข้อมูลข่าวสารคลาดเคลื่อน โดยเฉพาะช่อง 3 ดังนั้น อาจจะต้องมีการขอมติจากที่ชุมนุมว่าอาจจะต้องเดินทางไปปิดล้อมสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 จะดีหรือไม่ นอกจากนี้ ยังประกาศชัยชนะที่สามารถทำให้สถานีโทรทัศน์เอ็นบีทียุติการแพร่ภาพออกอากาศได้ช่วงหนึ่ง
และเมื่อเวลา 10.00 น. พล.ต.จำลอง กล่าวบนเวทีว่า ขอให้ทุกคนพยายามตั้งใจกู้ชาติ อย่าหวั่นไหว ให้ฟังแกนนำ และการชุมนุมที่มัฆวานฯ จะเป็นจุดศูนย์กลางใหญ่ของการนำกลุ่มผู้ชุมนุมไปเสริม ในจุดที่ปิดล้อม หากขาดกำลังคน ซึ่งไม่เกิน 4 ชั่วโมงจากนี้ พันธมิตรฯ จะได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน
ก่อนหน้านี้ พล.ต.จำลอง ได้ขึ้นเวที พร้อมประกาศให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปล่อยตัวกลุ่มพันธมิตรฯ ที่บุกสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที และถูกจับกุมไว้ หากไม่ปล่อย จะนำกำลังไปกดดันชุมนุมหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
และเมื่อเวลา 10.30 น. นายสมศักดิ์ โกศัยสุข พล.ต.จำลอง และนายสนธิ ได้หารือประเมินสถานการณ์ที่ด้านหลังเวทีพันธมิตรฯ ถึงแนวทางการเคลื่อนไหว โดยมอบหมายให้ พล.ต.จำลอง รับผิดชอบบัญชาการที่สะพานมัฆวานฯ


ที่มา:
http://news.mcot.net
อัพเดตเมื่อ 2008-08-26 14:10:26
สำนักข่าวไทย

วันจันทร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2551

พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่อังกฤษ แจงเหตุไม่มารายงานตัวต่อศาล


11 ส.ค.- พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกแถลงการณ์ชี้แจงที่ไม่ไปรายงานตัวต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งเขียนด้วยลายมือตัวเอง และส่งทางโทรสารมายังสื่อ เมื่อประมาณช่วงเที่ยงที่ผ่านมา
แถลงการณ์ดังกล่าวมีใจความว่า "ก่อนอื่น กระผมต้องกราบขออภัยต่อคณะผู้พิพากษาคดีที่ดินรัชดา และพี่น้องประชาชน ผู้สนับสนุนผมทุกท่าน ที่ผมและภริยา ได้เดินทางมาพำนักที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นประเทศที่ยึดหลักการประชาธิปไตยเหนือสิ่งอื่นใด และไม่ได้ไปรายงานตัวต่อศาลฎีกา แผนกคดีอาญา นักการเมือง
สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมและครอบครัว พร้อมกับบุคคลใกล้ชิด เป็นผลพวงต่อเนื่องมาจากความต้องการขจัดผมออกจากการเมือง ด้วยการพยายามลอบสังหาร ตามมาด้วยการปฏิวัติรัฐประหาร แต่งตั้งคณะบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์ มาสอบสวนดำเนินคดีเฉพาะตัวผมและครอบครัว ร่างรัฐธรรมนูญที่สืบทอดอำเภอเผด็จการ แต่งตั้งบุคคลที่สนับสนุนการปฏิวัติรัฐประหารทั้งทางตรงและทางอ้อม เข้าไปเป็นกรรมการในการองค์กรต่าง ๆ เพื่อดำเนินการกับผม เมื่อมีการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ประชาชนส่วนใหญ่ก็ยังคงเลือกพรรคพลังประชาชน ที่ผู้สมัครส่วนมากมาจากพรรคไทยรักไทยเดิม ให้กลับคืนมาทำหน้าที่ตัวแทนของพวกเขา
ผมคิดว่า เหตุการณ์คงจะดีขึ้น ผมคงจะมีโอกาสได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์และได้รับความเป็นธรรม จึงเดินทางกลับประเทศไทย เมื่อวันที่ 28 ก.พ.2551 แต่เหตุการณ์กลับยิ่งเลวลง เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวผมและครอบครัว เป็นเสมือนผลไม้ที่เกิดจากต้นไม้ที่เป็นพิษ ผลของมันก็ย่อมเป็นพิษตามไปด้วย นั่นก็คือ ยังคงมีการสืบทอดระบอบเผด็จการในการจัดการการเมืองไทยในระบอบประชาธิปไตย ตามมาด้วยการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม โดยเอาผลลัพธ์ที่อยากจะได้เป็นตัวตั้ง เพื่อจัดการกับผมและครอบครัว ซึ่งบุคคลกลุ่มนี้ ถือว่าผมเป็นศัตรูทางการเมือง โดยไม่คำนึงถึงระบบกฎหมาย และระบบข้อเท็จจริง และการสอบสวนดำเนินคดีตามหลักนิติธรรมสากล ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายว่าด้วยพยานหลักฐาน การบังคับใช้กฎหมายที่มีผลเป็นโทษย้อนหลัง ไม่ยอมใช้หลักนิติธรรม และหลักนิติรัฐ ผมและครอบครัวได้ถูกดำเนินการอย่างไม่เป็นธรรมเช่นนี้ มาอย่างต่อเนื่อง
การแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม และการใช้ระบบ 2 มาตรฐานที่เห็นได้อย่างชัดเจน ทำให้ผมและครอบครัวพร้อมด้วยผู้ที่เกี่ยวข้องไม่ได้รับความเป็นธรรมก็นับว่าหนักหนาแล้ว แต่ยังเทียบไม่ได้กับการที่ระบบกระบวนการยุติธรรมของประเทศ และองค์กรที่เกี่ยวข้องที่มีเกียรติ มีความน่าเชื่อถือ สั่งสมมาเป็นเวลานาน ต้องเสื่อมลง เพราะถูกนำมาใช้ทางการเมืองจนขาดความเป็นกลาง ซึ่งเป็นผลเสียหายต่อประเทศอย่างใหญ่หลวง
นอกจากนี้ ผมได้รับข่าวสารตลอดเวลาว่า ชีวิตของผมไม่ปลอดภัยเดินทางไปไหนมาไหน จึงต้องใช้รถกันกระสุน นี่คือผลที่ได้รับจากการที่ผมอาสาเข้ามาทำงานรับใช้ประเทศชาติ ราชบัลลังก์ และประชาชนด้วยความทุ่มเท ทำงานอย่างหนักมาตลอด ระยะเวลาเกือบ 6 ปี ที่ทำให้หน้าที่นายกรัฐมนตรี
ผมจึงต้องกราบขออภัยอีกครั้งหนึ่ง ที่ต้องตัดสินใจมาอยู่ประเทศอังกฤษ และขอยืนยันว่า
1. ผมและครอบครัวมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และพระราชวงศ์ทุกพระองค์ อย่างหาที่สุดมิได้ แม้ว่ามีผู้จงใจใส่ร้ายมาโดยตลอด
2. ถึงแม้ผมไม่ใช่คนดีสมบูรณ์แบบ แต่ผมขอยืนยันว่า ผมไม่ได้เลวอย่างที่ถูกกล่าวหา เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ผมจะแถลงความจริงให้ทุกท่านทราบ วันนี้ ยังไม่ใช่วันของผม ขอให้ผู้สนับสนุนผมอดทนอีกนิดหนึ่งครับ
3. หากผมยังมีวาสนา ผมจะขอกลับมาตายบนผืนแผ่นดินไทยเฉกเช่นคนไทยครับ
ด้วยความเคารพรัก พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร".
ที่มา
สำนักข่าวไทยอัพเดตเมื่อ 2008-08-11 12:48:31

วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2551


ศาล รธน.มีมติเอกฉันท์ กม.ปปช.ไม่ขัด รธน.50

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ กม.ป.ป.ช.ไม่ขัด รธน.ปี 50 โดย กม.กำหนดขอบเขตเหมาะสม พร้อมมีมติรับคำร้อง กกต.กรณีคุณสมบัติ "หมัก" ชิมไปบ่นไป นัดคู่กรณีตรวจพยานหลักฐานนัดแรก 21 ส.ค.นายไพบูลย์ วราหะไพฑูรย์ เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ แถลงภายหลังการประชุมคณะตุลาการ ว่า ที่ประชุมคณะตุลาการได้มีการพิจารณากรณีศาลฎีกาส่งคำโต้แย้งของ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ในกรณีที่ดินรัชดาฯ ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 211 ว่า พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่า การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 4 ,100 ,122 ขัดหรือแย้งกับมาตรา 29 , 50 ของรัฐธรรมนูญ 40 หรือไม่ และขัดหรือแย้งกับมาตรา 3 ,38 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2549 และขัดหรือแย้งกับมาตรา 26 , 27 , 28 , 29 , 39และ 43 ของรัฐธรรมนูญ 50 หรือไม่ ซึ่งที่ประชุมศาลรัฐธรรมนูญ ได้พิจารณาแล้วมีมติเป็นเอกฉันท์ ว่ามาตรา 4 ,100 ,122 ของพ.ร.บ.ป.ป.ช. ไม่ขัดหรือแย้งต่อมาตรา 26 , 27 , 28 , 29 , 39 และ 43 ของรัฐธรรมนูญ 50 นายไพบูลย์ กล่าวถึงเหตุผลว่า เนื่องจากบทบัญญัติแห่งกฎหมายป.ป.ช.ทั้ง 3 มาตรา มีเนื้อหาสอดคล้องกับหลักการสำคัญของรัฐธรรมนูญ เพื่อป้องกันแก้ไขปัญหาการทุจริตประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง รวมทั้งยังบัญญัติทางแก้ไขเพื่อความเป็นธรรมไว้ด้วยว่า หากเจ้าหน้าที่รัฐผู้ใดพิสูจน์ได้ว่าตนไม่มีส่วนรู้เห็นยินยอมด้วยในการกระทำของคู่สมรสให้ถือผู้นั้นไม่มีความผิด ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวนั้น ถือว่ามีขอบเขตที่พอเหมาะพอควร สมเหตุสมผล ไม่เป็นการล่วงละเมิดต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ จำกัดสิทธิเสรีภาพเกินจำเป็นแต่อย่างใด ส่วนที่คู่กรณีโต้แย้งมาตราอื่นว่าขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ 40 และรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 49 นั้น ตุลาการเห็นว่ารัฐธรรมนูญทั้ง 2 ฉบับได้เลิกใช้ไปแล้ว ประกอบกับบทบัญญัติที่โต้แย้งก็คือบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 50 จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย

ที่มาของข่าว http://www.tv3.co.th/becnews/data/political.html

วันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ร.ต.อ.เฉลิมไม่น้อยใจถูกปรับออกเตรียมหันกลับมาดูภาพพจน์ตัวเอง


บางบอน 3 ส.ค. – “ร.ต.อ.เฉลิม” เปิดใจนายก ฯ ยกหูแจ้งเหตุจำเป็นต้องปรับออกโดยต่อรองให้นั่งรองประธานสภาฯ แต่ไม่สน ขอเป็น ส.ส.ธรรมดา ยืนยันไม่น้อยใจหรือโกรธนายกฯ เตรียมหันมาดูเรื่องภาพพจน์ตัวเองหลังคนในพรรคบอกภาพพจน์ไม่ดี ประชดหากจะให้ช่วยปราศรัยหาเสียงต้องยืนยันก่อนว่ามีภาพพจน์ดี พร้อมยืนยันไม่เคยใช้ความรุนแรงและไม่เกี่ยวม็อบพันธมิตรฯ ที่อุดรฯ ถูกตี
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แถลงแสดงความยินดีกับนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีที่ประสบความสำเร็จในการปรับคณะรัฐมนตรี และขอแสดงความยินดีกับอดีตรัฐมนตรีเก่าที่ได้กลับมาปฎิบัติหน้าที่ใหม่ รวมทั้งรัฐมนตรีใหม่ และขออวยพรให้นายกรัฐมนตรีประสบความสำเร็จในการบริหารบ้านเมืองภายใต้รัฐบาลใหม่ อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าในตอนแรกนายกรัฐมนตรีไม่ได้บอกว่า จะปรับออกจากตำแหน่ง จนกระทั่งมีข่าวออกมา นายกรัฐมนตรีจึงได้โทรศัพท์มาบอกว่า มีเหตุผลและความจำเป็นต้องปรับคณะรัฐมนตรี แต่อยากให้ไปช่วยทำงานฝ่ายนิติบัญญัติ คือ ให้ทำหน้าที่รองประธานสภาผู้แทนราษฎร แต่ได้บอกไปว่าไม่ถนัด เพราะชอบพูดให้คนอื่นฟัง แล้วจะมาให้นั่งฟังคนอื่นพูดได้อย่างไร
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่าได้บอกให้นายกรัฐมนตรีปรับตนออกไปเลย ตนไม่มีอะไรโกรธเคือง หรือน้อยใจ และไม่คิดว่านายกรัฐมนตรีกลั่นแกล้งหรือมีกลุ่มใดมากดดัน เพราะเต็มใจ และหลังจากนี้ไปจะทำหน้าที่ ส.ส.พรรคพลังประชาชน ทำงานให้พรรคและบ้านเมือง แต่ต้องหันมาดูตัวเองเรื่องภาพพจน์ เพราะคนในพรรคบอกว่า ถูกปรับออกเพราะภาพพจน์ไม่ดี และหากจะให้ไปช่วยปราศรัยให้พรรค จะต้องบอกกับสังคมว่า ถ้าตนไม่ไปแล้วต้องจ้างคนฟัง หากคนไม่มาฟัง พรรคจะแพ้เลือกตั้ง ต้องประกาศเช่นนี้ ตนจึงจะไปช่วย เพราะกลัวภาพพจน์ไม่ดีภายหลังการเลือกตั้งอีก
“ทุกเวทีปราศรัย ถ้าผมไม่ไปแล้วจะเป็นจะตาย แต่กลับมาวิพากษ์วิจารณ์ว่าผมภาพพจน์ไม่ดี ก็ไม่เป็นไร ผมจะได้จดจำและกลับมาทบทวนตัวเองว่า จากนี้ต่อไปใครเขาเชิญไปปราศรัย ก็ให้ดูเงาหัวตัวว่าเราภาพพจน์ไม่ดี วิธีการต้องบอกคนมาชวนว่าเดี๋ยวคุณเสียนะ เดี๋ยวคุณเอาคนภาพพจน์ไม่ดี คุณต้องแถลงข่าวหากจะเชิญผมลงพื้นที่ปราศรัย ต้องบอกสื่อมวลชนว่า ร.ต.อ.เฉลิมภาพพจน์ดี ไปแล้วประชาชนจะฟัง ไม่เช่นนั้นผมกลัวภาพพจน์ไม่ดี ที่ผมเรียนไม่ได้น้อยเนื้อต่ำใจ การเมืองไม่ใช่เรื่องของการน้อยใจ การเมืองเป็นเรื่องของการทำความเข้าใจ ผมย้ำอีกครั้งว่า ผมไม่มีวันโกรธเคืองนายกฯ สมัคร เพราะมิตรภาพอันยาวนาน ความผูกพันเกือบ 30 ปี บนเวทีการเมือง เล่นการเมืองควบคู่กันมา ผมเชื่อท่านมีเหตุผลในการปรับคณะรัฐมนตรี และเรียนว่าผมเต็มใจเป็นอย่างยิ่งที่ถูกปรับออก ไม่มีน้อยอกน้อยใจ ไม่มีกรณีจะต้องฝากงานรัฐมนตรีคนใหม่ เพราะอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนที่นายกฯเลือกมาต้องมีความเหมาะสม ต้องเก่ง อย่างน้อย ๆ ต้องเก่งกว่าผมอย่างแน่นอน ถ้าไม่เก่งนายกฯ สมัครคงไม่คัดเลือกมา” ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
สำหรับกรณีที่มีข่าวว่านายเนวิน ชิดชอบ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยอยู่เบื้องหลังการปรับ ครม.ในครั้งนี้นั้น ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ไม่กล้าปักใจเชื่อ และไม่กล้าบอกว่าไม่เชื่อ เหตุที่ไม่ทราบเพราะไม่สนิทกับนายเนวิน ไม่เคยถามนายเนวิน และนายเนวินไม่เคยมาบอก จึงไม่ทราบว่า นายเนวินมีอิทธิพลมากน้อยแค่ไหน และโดยมารยาทก็ไม่ได้ถามนายกรัฐมนตรี เพราะหากถามจะกลายเป็นว่า เรามองนายกรัฐมนตรีเป็นเด็ก ให้คนมามีอิทธิพล
กรณีที่คณะรัฐมนตรีใหม่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าหน้าตาไม่ดีนั้น ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ตนยังอยู่ในพรรคพลังประชาชน หากคิดเช่นนั้นจะแปลว่าตนตีรวน อย่าไรก็ตาม ในทางการเมืองหน้าตาของรัฐมนตรีดีหรือไม่ ตนไม่ทราบ และขอยืนยันเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตว่า ตนมี 100 บวก ไม่เคยทุจริต ที่ผ่านมาไม่เคยใช้รถประจำตำแหน่ง รวมทั้งไม่รับเงินราชการลับ เวลาไปตรวจราชการต่างจังหวัดไม่เคยเบิกเบี้ยเลี้ยงให้ตัวเองและคณะ ค่าโดยสารเครื่องบิน รวมถึงรถไฟและค่าน้ำมันรถก็ไม่เคยเบิกแม้แต่สตางค์เดียว และในการแต่งตั้งโยกย้ายที่ผ่านมาไม่เคยยึดพวกใคร แต่เอาคนมีความรู้ความสามารถ คิดถึงความรุ่งเรืองของกระทรวงเป็นหลัก เพราะตนมีหิริโอตัปปะ มีความละอายต่อบาป
ส่วนกรณีที่ไม่โยกย้ายปลัดกระทรวงและอธิบดีบางกรมทำให้มีบางคนไม่พอใจหรือไม่นั้น อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ไม่ทราบ แต่สาเหตุที่ไม่โยกย้ายเพราะต้องการให้โอกาสทำงาน ทั้งนี้ไม่ขอบอกว่า ที่ผ่านมามีใครมาขอร้องอย่างไรบ้าง แต่ไม่เคยสนองตอบ และปฏิบัติด้วยความชอบธรรม นอกจากนี้ยังมีเรื่องการเปลี่ยนแปลงงบประมาณของกรมการปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งตอนที่มารับตำแหน่งมีการจัดงบประมาณและกระจายไปแล้วร้อยละ 70-80 แต่มีบางส่วนอยากให้เปลี่ยนใหม่ โดยการยกเลิกสัญญา ซึ่งตนทำไม่ได้ ตรงนี้อาจทำให้มีคนไม่พอใจก็ได้
“ยังมีเรื่องการขอออกสลากพิเศษ ที่ผมไม่เห็นด้วย โดยมีมูลนิธิแห่งหนึ่ง ไม่เป็นที่รู้จักทำเรื่องขอออกสลากพิเศษ 40 งวด ๆละ 300 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 12,000 ล้านบาท ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้มีหนังสือถึงเลขาคณะรัฐมนตรีให้ส่งเรื่องมาขอความเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยอ้างว่า จะนำเงินรายได้ไปช่วยพี่น้องจังหวัดชายแดนใต้ที่เดือดร้อน ซึ่งพี่น้องชาวใต้ไม่ยอมรับ เพราะชาวมุสลิมถือว่าเป็นเงินบาป โดยมีการเสนอเรื่องนี้มาถึง 7 รอบ สุดท้ายเมื่อนำเรื่องเข้า ครม. นายกรัฐมนตรีให้ถอนเรื่องออกไป ซึ่งตรงนี้อาจจะทำให้ใครพอใจหรือไม่พอใจก็ได้” ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
หากมีการปรับ ครม.อีกครั้งและเชิญให้กลับไปเป็นรัฐมนตรีจะรับหรือไม่ นั้น ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ไปบอกล่วงหน้าไม่ได้ พร้อมกับย้อนถามว่า รัฐบาลอยู่ไกลถึงขนาดนั้นหรือ และไม่กล้าบอกว่าการปรับ ครม.ครั้งนี้เป็นการเริ่มต้นหรือนับถอยหลัง

ร.ต.อ.เฉลิม ยังกล่าวถึงกระแสข่าวการให้เงินเกี่ยวโยงกับการปรับคณะรัฐมนตรีว่า ไม่เกี่ยวกัน เท่าที่ติดตามข่าวทราบว่า มีคนรับเงินจากบริษัทแห่งหนึ่ง 10 ล้านบาทเป็นบริษัทก่อสร้างที่ทำธุรกิจกับกรุงเทพมหานครแล้วนำไปเข้าบัญชีตัวเอง ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) กำลังตรวจสอบอยู่ แต่ไม่เกี่ยวข้องกับการวิ่งเต้นในการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี ดังนั้นอย่าไปโทษนายสมัครเลย
ส่วนกรณีที่มีความพยายามโยงว่าอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยอยู่เบื้องหลังความรุนแรงที่เกิดขึ้นที่จังหวัดอุดรธานีนั้น ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า วันที่ชมรมคนรักอุดรฯ มีเรื่องทำร้ายกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น ตนอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ และภาพที่โพกศีรษะด้วยผ้าแดงของชมรมคนรักอุดรฯ เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เมื่อครั้งที่เดินทางไปตรวจราชการ ซึ่งยอมรับว่ารู้จักกับคนเหล่านั้น เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นสมาชิกพรรคพลังประชาชน ซึ่งตอนไปหาเสียง คนกลุ่มนี้ก็มาฟังการปราศรัย แต่ตนไม่ได้สั่งให้คนกลุ่มนี้ไปทำร้าย และที่มีข่าวว่าหลังเกิดเหตุได้โทรศัพท์ไปแสดงความยินดีก็ไม่เป็นความจริง เพราะตนเป็นคนที่ไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรง และกรณีที่เกิดขึ้นเป็นความเข้าใจผิดของกลุ่มพันธมิตรฯ
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า เมื่อไม่เห็นด้วยกับวิธีการของพันธมิตรฯ ตนก็เพียงเถียงปากต่อปาก คำต่อคำ แต่ไม่เคยคิดร้าย และไม่เคยเห็นด้วยที่จะสลายการชุมนุม ซึ่งจะเห็นได้ว่า ตั้งแต่นายกรัฐมนตรีออกโทรทัศน์ ตนก็ออกมาคัดค้านตลอดเวลา เพราะเป็นคนไทยด้วยกัน
“ผมเรียนปราบจลาจลมาผมรู้ คนเยอะถ้าไปสลาย ก็ต้องหัวล้างข้างแตก ลักษณะการชุมนุมแบบอหิงสาอย่างนี้ การสลายการชุมนุม ผมไม่เห็นด้วย แต่ผมไม่เห็นด้วยกับการปราศรัย ไปพูดได้อย่างไร ว่าผมเป็นคนสั่งให้ตีที่จังหวัดอุดรฯ พันธมิตรฯ ค้นพบเรื่องนี้ไม่ได้ พันธมิตรฯต้องยุติการปราศรัย นี่ยังไม่รู้อีกหรือว่าใครเป็นคนสั่ง เขารู้กันทั้งนั้น ไปเสาะเอาเองก็แล้วกัน แต่ไม่ใช่ผม มันมีคนสั่ง แล้วคนสั่งไม่ใช่รัฐมนตรี ตำรวจเขาวางกำลังไว้เรียบร้อยแล้ว ไอ้พวกแอบสั่งการไปสั่ง แล้วพันธมิตรฯ ก็เข้าใจผิด ไม่ใช่ผม ผมเติบโตมาจากสายบู๊ลิ้ม เขาไม่ทำกัน นักเลงไม่ใช่โจร โจรไม่ใช่นักเลง พวกผมอยู่ในคำจำกัดความว่า นักเลงไม่ใช่โจร โจรไม่ใช่นักเลง” ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว

ส่วนคนที่สั่งเป็นคนเดียวกับที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการปรับ ครม.หรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า แสดงว่ารู้ อย่างนี้ตนไม่บอก สำหรับกรณีที่มีรายงานว่าขณะนี้แก็งออฟโฟร์ยึดพรรคพลังประชาชนแล้วนั้น ร.ต.อ.เฉลิม ย้อนถามว่ามีใครบ้าง แต่ไม่เป็นไร หากเขายึดไปได้จริง ตนคงต้องทบทวนแนวคิดทางการเมืองใหม่ แต่จะเป็นแบบใดยังบอกไม่ได้ เพราะถ้าฝนยังไม่ตก อย่าเพิ่งกางร่ม. - สำนักข่าวไทย
ที่มาของข่าว