การเมืองไทย










VS




เป็นการต่อสู้ในเส้นทางของวงจรอุบาตที่ไม่มีวันสิ้นสุด

เห้ออออ ถอนหายใจแล้วก็ถอนหายใจอีก

การเมืองไทยเมื่อไรจะได้เป็นการเมืองไทยที่สมบูรณ์เสียที

หวังว่าการเมืองไทยจะฟื้นฟูในอนาคตเมื่อรถึงรุ่นพวกเรา



ล้อการเมือง(มันก็คือความจริงนั้นแหละมั้ง)







วันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ร.ต.อ.เฉลิมไม่น้อยใจถูกปรับออกเตรียมหันกลับมาดูภาพพจน์ตัวเอง


บางบอน 3 ส.ค. – “ร.ต.อ.เฉลิม” เปิดใจนายก ฯ ยกหูแจ้งเหตุจำเป็นต้องปรับออกโดยต่อรองให้นั่งรองประธานสภาฯ แต่ไม่สน ขอเป็น ส.ส.ธรรมดา ยืนยันไม่น้อยใจหรือโกรธนายกฯ เตรียมหันมาดูเรื่องภาพพจน์ตัวเองหลังคนในพรรคบอกภาพพจน์ไม่ดี ประชดหากจะให้ช่วยปราศรัยหาเสียงต้องยืนยันก่อนว่ามีภาพพจน์ดี พร้อมยืนยันไม่เคยใช้ความรุนแรงและไม่เกี่ยวม็อบพันธมิตรฯ ที่อุดรฯ ถูกตี
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แถลงแสดงความยินดีกับนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีที่ประสบความสำเร็จในการปรับคณะรัฐมนตรี และขอแสดงความยินดีกับอดีตรัฐมนตรีเก่าที่ได้กลับมาปฎิบัติหน้าที่ใหม่ รวมทั้งรัฐมนตรีใหม่ และขออวยพรให้นายกรัฐมนตรีประสบความสำเร็จในการบริหารบ้านเมืองภายใต้รัฐบาลใหม่ อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าในตอนแรกนายกรัฐมนตรีไม่ได้บอกว่า จะปรับออกจากตำแหน่ง จนกระทั่งมีข่าวออกมา นายกรัฐมนตรีจึงได้โทรศัพท์มาบอกว่า มีเหตุผลและความจำเป็นต้องปรับคณะรัฐมนตรี แต่อยากให้ไปช่วยทำงานฝ่ายนิติบัญญัติ คือ ให้ทำหน้าที่รองประธานสภาผู้แทนราษฎร แต่ได้บอกไปว่าไม่ถนัด เพราะชอบพูดให้คนอื่นฟัง แล้วจะมาให้นั่งฟังคนอื่นพูดได้อย่างไร
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่าได้บอกให้นายกรัฐมนตรีปรับตนออกไปเลย ตนไม่มีอะไรโกรธเคือง หรือน้อยใจ และไม่คิดว่านายกรัฐมนตรีกลั่นแกล้งหรือมีกลุ่มใดมากดดัน เพราะเต็มใจ และหลังจากนี้ไปจะทำหน้าที่ ส.ส.พรรคพลังประชาชน ทำงานให้พรรคและบ้านเมือง แต่ต้องหันมาดูตัวเองเรื่องภาพพจน์ เพราะคนในพรรคบอกว่า ถูกปรับออกเพราะภาพพจน์ไม่ดี และหากจะให้ไปช่วยปราศรัยให้พรรค จะต้องบอกกับสังคมว่า ถ้าตนไม่ไปแล้วต้องจ้างคนฟัง หากคนไม่มาฟัง พรรคจะแพ้เลือกตั้ง ต้องประกาศเช่นนี้ ตนจึงจะไปช่วย เพราะกลัวภาพพจน์ไม่ดีภายหลังการเลือกตั้งอีก
“ทุกเวทีปราศรัย ถ้าผมไม่ไปแล้วจะเป็นจะตาย แต่กลับมาวิพากษ์วิจารณ์ว่าผมภาพพจน์ไม่ดี ก็ไม่เป็นไร ผมจะได้จดจำและกลับมาทบทวนตัวเองว่า จากนี้ต่อไปใครเขาเชิญไปปราศรัย ก็ให้ดูเงาหัวตัวว่าเราภาพพจน์ไม่ดี วิธีการต้องบอกคนมาชวนว่าเดี๋ยวคุณเสียนะ เดี๋ยวคุณเอาคนภาพพจน์ไม่ดี คุณต้องแถลงข่าวหากจะเชิญผมลงพื้นที่ปราศรัย ต้องบอกสื่อมวลชนว่า ร.ต.อ.เฉลิมภาพพจน์ดี ไปแล้วประชาชนจะฟัง ไม่เช่นนั้นผมกลัวภาพพจน์ไม่ดี ที่ผมเรียนไม่ได้น้อยเนื้อต่ำใจ การเมืองไม่ใช่เรื่องของการน้อยใจ การเมืองเป็นเรื่องของการทำความเข้าใจ ผมย้ำอีกครั้งว่า ผมไม่มีวันโกรธเคืองนายกฯ สมัคร เพราะมิตรภาพอันยาวนาน ความผูกพันเกือบ 30 ปี บนเวทีการเมือง เล่นการเมืองควบคู่กันมา ผมเชื่อท่านมีเหตุผลในการปรับคณะรัฐมนตรี และเรียนว่าผมเต็มใจเป็นอย่างยิ่งที่ถูกปรับออก ไม่มีน้อยอกน้อยใจ ไม่มีกรณีจะต้องฝากงานรัฐมนตรีคนใหม่ เพราะอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนที่นายกฯเลือกมาต้องมีความเหมาะสม ต้องเก่ง อย่างน้อย ๆ ต้องเก่งกว่าผมอย่างแน่นอน ถ้าไม่เก่งนายกฯ สมัครคงไม่คัดเลือกมา” ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
สำหรับกรณีที่มีข่าวว่านายเนวิน ชิดชอบ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยอยู่เบื้องหลังการปรับ ครม.ในครั้งนี้นั้น ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ไม่กล้าปักใจเชื่อ และไม่กล้าบอกว่าไม่เชื่อ เหตุที่ไม่ทราบเพราะไม่สนิทกับนายเนวิน ไม่เคยถามนายเนวิน และนายเนวินไม่เคยมาบอก จึงไม่ทราบว่า นายเนวินมีอิทธิพลมากน้อยแค่ไหน และโดยมารยาทก็ไม่ได้ถามนายกรัฐมนตรี เพราะหากถามจะกลายเป็นว่า เรามองนายกรัฐมนตรีเป็นเด็ก ให้คนมามีอิทธิพล
กรณีที่คณะรัฐมนตรีใหม่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าหน้าตาไม่ดีนั้น ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ตนยังอยู่ในพรรคพลังประชาชน หากคิดเช่นนั้นจะแปลว่าตนตีรวน อย่าไรก็ตาม ในทางการเมืองหน้าตาของรัฐมนตรีดีหรือไม่ ตนไม่ทราบ และขอยืนยันเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตว่า ตนมี 100 บวก ไม่เคยทุจริต ที่ผ่านมาไม่เคยใช้รถประจำตำแหน่ง รวมทั้งไม่รับเงินราชการลับ เวลาไปตรวจราชการต่างจังหวัดไม่เคยเบิกเบี้ยเลี้ยงให้ตัวเองและคณะ ค่าโดยสารเครื่องบิน รวมถึงรถไฟและค่าน้ำมันรถก็ไม่เคยเบิกแม้แต่สตางค์เดียว และในการแต่งตั้งโยกย้ายที่ผ่านมาไม่เคยยึดพวกใคร แต่เอาคนมีความรู้ความสามารถ คิดถึงความรุ่งเรืองของกระทรวงเป็นหลัก เพราะตนมีหิริโอตัปปะ มีความละอายต่อบาป
ส่วนกรณีที่ไม่โยกย้ายปลัดกระทรวงและอธิบดีบางกรมทำให้มีบางคนไม่พอใจหรือไม่นั้น อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ไม่ทราบ แต่สาเหตุที่ไม่โยกย้ายเพราะต้องการให้โอกาสทำงาน ทั้งนี้ไม่ขอบอกว่า ที่ผ่านมามีใครมาขอร้องอย่างไรบ้าง แต่ไม่เคยสนองตอบ และปฏิบัติด้วยความชอบธรรม นอกจากนี้ยังมีเรื่องการเปลี่ยนแปลงงบประมาณของกรมการปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งตอนที่มารับตำแหน่งมีการจัดงบประมาณและกระจายไปแล้วร้อยละ 70-80 แต่มีบางส่วนอยากให้เปลี่ยนใหม่ โดยการยกเลิกสัญญา ซึ่งตนทำไม่ได้ ตรงนี้อาจทำให้มีคนไม่พอใจก็ได้
“ยังมีเรื่องการขอออกสลากพิเศษ ที่ผมไม่เห็นด้วย โดยมีมูลนิธิแห่งหนึ่ง ไม่เป็นที่รู้จักทำเรื่องขอออกสลากพิเศษ 40 งวด ๆละ 300 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 12,000 ล้านบาท ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้มีหนังสือถึงเลขาคณะรัฐมนตรีให้ส่งเรื่องมาขอความเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยอ้างว่า จะนำเงินรายได้ไปช่วยพี่น้องจังหวัดชายแดนใต้ที่เดือดร้อน ซึ่งพี่น้องชาวใต้ไม่ยอมรับ เพราะชาวมุสลิมถือว่าเป็นเงินบาป โดยมีการเสนอเรื่องนี้มาถึง 7 รอบ สุดท้ายเมื่อนำเรื่องเข้า ครม. นายกรัฐมนตรีให้ถอนเรื่องออกไป ซึ่งตรงนี้อาจจะทำให้ใครพอใจหรือไม่พอใจก็ได้” ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
หากมีการปรับ ครม.อีกครั้งและเชิญให้กลับไปเป็นรัฐมนตรีจะรับหรือไม่ นั้น ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ไปบอกล่วงหน้าไม่ได้ พร้อมกับย้อนถามว่า รัฐบาลอยู่ไกลถึงขนาดนั้นหรือ และไม่กล้าบอกว่าการปรับ ครม.ครั้งนี้เป็นการเริ่มต้นหรือนับถอยหลัง

ร.ต.อ.เฉลิม ยังกล่าวถึงกระแสข่าวการให้เงินเกี่ยวโยงกับการปรับคณะรัฐมนตรีว่า ไม่เกี่ยวกัน เท่าที่ติดตามข่าวทราบว่า มีคนรับเงินจากบริษัทแห่งหนึ่ง 10 ล้านบาทเป็นบริษัทก่อสร้างที่ทำธุรกิจกับกรุงเทพมหานครแล้วนำไปเข้าบัญชีตัวเอง ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) กำลังตรวจสอบอยู่ แต่ไม่เกี่ยวข้องกับการวิ่งเต้นในการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี ดังนั้นอย่าไปโทษนายสมัครเลย
ส่วนกรณีที่มีความพยายามโยงว่าอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยอยู่เบื้องหลังความรุนแรงที่เกิดขึ้นที่จังหวัดอุดรธานีนั้น ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า วันที่ชมรมคนรักอุดรฯ มีเรื่องทำร้ายกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น ตนอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ และภาพที่โพกศีรษะด้วยผ้าแดงของชมรมคนรักอุดรฯ เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เมื่อครั้งที่เดินทางไปตรวจราชการ ซึ่งยอมรับว่ารู้จักกับคนเหล่านั้น เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นสมาชิกพรรคพลังประชาชน ซึ่งตอนไปหาเสียง คนกลุ่มนี้ก็มาฟังการปราศรัย แต่ตนไม่ได้สั่งให้คนกลุ่มนี้ไปทำร้าย และที่มีข่าวว่าหลังเกิดเหตุได้โทรศัพท์ไปแสดงความยินดีก็ไม่เป็นความจริง เพราะตนเป็นคนที่ไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรง และกรณีที่เกิดขึ้นเป็นความเข้าใจผิดของกลุ่มพันธมิตรฯ
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า เมื่อไม่เห็นด้วยกับวิธีการของพันธมิตรฯ ตนก็เพียงเถียงปากต่อปาก คำต่อคำ แต่ไม่เคยคิดร้าย และไม่เคยเห็นด้วยที่จะสลายการชุมนุม ซึ่งจะเห็นได้ว่า ตั้งแต่นายกรัฐมนตรีออกโทรทัศน์ ตนก็ออกมาคัดค้านตลอดเวลา เพราะเป็นคนไทยด้วยกัน
“ผมเรียนปราบจลาจลมาผมรู้ คนเยอะถ้าไปสลาย ก็ต้องหัวล้างข้างแตก ลักษณะการชุมนุมแบบอหิงสาอย่างนี้ การสลายการชุมนุม ผมไม่เห็นด้วย แต่ผมไม่เห็นด้วยกับการปราศรัย ไปพูดได้อย่างไร ว่าผมเป็นคนสั่งให้ตีที่จังหวัดอุดรฯ พันธมิตรฯ ค้นพบเรื่องนี้ไม่ได้ พันธมิตรฯต้องยุติการปราศรัย นี่ยังไม่รู้อีกหรือว่าใครเป็นคนสั่ง เขารู้กันทั้งนั้น ไปเสาะเอาเองก็แล้วกัน แต่ไม่ใช่ผม มันมีคนสั่ง แล้วคนสั่งไม่ใช่รัฐมนตรี ตำรวจเขาวางกำลังไว้เรียบร้อยแล้ว ไอ้พวกแอบสั่งการไปสั่ง แล้วพันธมิตรฯ ก็เข้าใจผิด ไม่ใช่ผม ผมเติบโตมาจากสายบู๊ลิ้ม เขาไม่ทำกัน นักเลงไม่ใช่โจร โจรไม่ใช่นักเลง พวกผมอยู่ในคำจำกัดความว่า นักเลงไม่ใช่โจร โจรไม่ใช่นักเลง” ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว

ส่วนคนที่สั่งเป็นคนเดียวกับที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการปรับ ครม.หรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า แสดงว่ารู้ อย่างนี้ตนไม่บอก สำหรับกรณีที่มีรายงานว่าขณะนี้แก็งออฟโฟร์ยึดพรรคพลังประชาชนแล้วนั้น ร.ต.อ.เฉลิม ย้อนถามว่ามีใครบ้าง แต่ไม่เป็นไร หากเขายึดไปได้จริง ตนคงต้องทบทวนแนวคิดทางการเมืองใหม่ แต่จะเป็นแบบใดยังบอกไม่ได้ เพราะถ้าฝนยังไม่ตก อย่าเพิ่งกางร่ม. - สำนักข่าวไทย
ที่มาของข่าว

1 ความคิดเห็น:

Democl2acy Group กล่าวว่า...

น่าจะหันมาดูภาพพจน์ตั้งนานแล้วล่ะคร้าบบ
แต่เอ...มันยังจะมีเหลือให้ดูอยู่หรอ
อืม...ไม่ทราบว่ามันจะเป็นภาพพจน์แบบไหนกันน้าถึงขนาดต้องโดนปรับออกเนี่ย