การเมืองไทย










VS




เป็นการต่อสู้ในเส้นทางของวงจรอุบาตที่ไม่มีวันสิ้นสุด

เห้ออออ ถอนหายใจแล้วก็ถอนหายใจอีก

การเมืองไทยเมื่อไรจะได้เป็นการเมืองไทยที่สมบูรณ์เสียที

หวังว่าการเมืองไทยจะฟื้นฟูในอนาคตเมื่อรถึงรุ่นพวกเรา



ล้อการเมือง(มันก็คือความจริงนั้นแหละมั้ง)







วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2551

พันธมิตรฯ ไม่ปิดกั้นเจรจาถ้านายกรัฐมนตรีพร้อม



ทำเนียบฯ 21 ก.ย.- “พล.ต.จำลอง” เผย พันธมิตรฯ พร้อมเจรจา หากนายกรัฐมนตรีพร้อม และติดต่อมา เห็นใจที่ต้องรีบตั้งคณะรัฐมนตรีก่อน ขณะที่ “สมศักดิ์-พิภพ” ยังคงยืนยันไม่เอารัฐบาลจากพรรคพลังประชาชน

เมื่อเวลา 10.00 น. แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นำโดย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายพิภพ ธงไชย และ นายสมศักดิ์ โกศัยสุข ร่วมกันแถลงถึงการประชุมกำหนดแนวทางการเมืองใหม่

พล.ต.จำลอง กล่าวว่า เวลา 14.00-17.00 น.วันนี้ (21 ก.ย.) จะมีการประชุมเรื่องแนวทางการเมืองใหม่ ประกอบด้วยแกนนำพันธมิตรฯ นักวิชาการที่เคยเสนอความเห็นเกี่ยวกับการเมืองใหม่ ประมาณ 10 คน เป็นการประชุมวงเล็ก เพื่อกำหนดแนวทางการเมืองใหม่ แต่จะไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าฟัง สำหรับการเจรจากับรัฐบาลเพื่อแก้หาทางแก้ไขปัญหาสถานการณ์การเมืองนั้น ขณะนี้ยังไม่มีการติดต่อมา ซึ่งทางกลุ่มพันธมิตรฯ ไม่ได้เร่งรีบที่จะเจรจา และไม่เร่งรัดนายกรัฐมนตรี เพราะเห็นใจว่ารัฐบาลต้องตั้งคณะรัฐมนตรีก่อน เมื่อนายกรัฐมนตรีพร้อม สามารถติดต่อมาได้ เพราะเราไม่ปิดกั้นการเจรจา

ส่วนที่รัฐบาลได้เจรจากับ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ นั้น ต้องสอบถาม นายสนธิ เอง เพราะตนยังไม่ได้พบกับ นายสนธิ และวันนี้ นายสนธิ อาจจะไม่ได้มาร่วมประชุมด้วย เพราะต้องไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกาย

ส่วนกรณีที่ระบุว่า ตำรวจจะสลายการชุมนุมช่วงเช้ามืด ระหว่างวันที่ 22-23 กันยายนนั้น พล.ต.จำลอง กล่าวว่า คนที่ส่งข่าวมาให้เป็นผู้ปรารถนาดี ไม่ได้ปรารถนาร้าย ซึ่งแกนนำยืนยันว่า มีความเป็นไปได้ แต่ทั้งหมดอยู่ที่ตำรวจ ผู้ชุมนุมอยู่กันตามปกติ หากเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องการมาจับก็สามารถจับได้ หากคิดว่าสลายการชุมนุมแล้วมีผลดีตามมา

เมื่อถามว่าทำไมไม่มอบตัวเพื่อสู้คดี เมื่อชนะคดีก็เป็นความชอบธรรมในการชุมนุม พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ที่อยู่อย่างนี้ก็เป็นความชอบธรรม กลุ่มพันธมิตรฯ จะรอให้ศาลวินิจฉัยการอุทธรณ์ก่อน เรื่องคดีมีนักกฎหมายผู้ใหญ่แสดงความเป็นห่วงว่าหากไปมอบตัว อาจจะมีปัญหา เพราะเรื่องนี้เป็นการกลั่นแกล้งกัน

ด้าน นายสมศักดิ์ และนายพิภพ กล่าวยืนยันเรื่องการเจรจากับรัฐบาลว่า ยังยืนยันว่า รัฐบาลต้องไม่ใช่คนจากพรรคพลังประชาชน และต้องมีแนวคิดการสร้างการเมืองใหม่ ที่ประชาชนมีส่วนร่วม เพราะรัฐบาลจากพรรคพลังประชาชน ซึ่งเป็นพรรคที่ไม่มีความชอบธรรม.- สำนักข่าวไทย

ที่มา: http://news.mcot.net/politic/inside.php?value=bmlkPTU2NDk4Jm50eXBlPXRleHQ=
อัพเดตเมื่อ 2008-09-21 11:36:59

By:Ponlawat Suwankhammoon
ID:5131601420
Section:02
Blog:http://cats-society.blogspot.com/

คนกรุงกว่าครึ่งยังเลือก อภิรักษ์ เป็นผู้ว่าฯ กทม.เพราะมีผลงาน-สานงานต่อได้




กรุงเทพฯ 21 ก.ย.- ผลสำรวจคนกรุงเทพฯ กว่าครึ่งยังเลือก “อภิรักษ์” เป็นผู้ว่าฯ กทม. เพราะทำงานดี มีผลงาน สานงานต่อจากเดิมได้ ส่วนกลุ่มที่เคยเลือก “สมัคร” เป็นผู้ว่าฯ กทม.ได้เกิน 1 ล้านคะแนนเกือบครึ่งเลือก “อภิรักษ์” รองลงมาคือ “ประภัสร์-ชูวิทย์” ตามลำดับ

สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในกรุงเทพมหานคร (กทม.) 50 เขต เพื่อทราบถึงบทเรียนการเลือกตั้งครั้งก่อนเพื่อมาเป็นแนวทางในการตัดสินใจครั้งนี้ จากกลุ่มตัวอย่าง 1,899 คน สำรวจระหว่างวันที่ 18-21 กันยายน 2551 พบว่าคนกรุงเทพฯ ยังคงเลือกนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน เป็นผู้ว่าฯ กทม.อันดับ 1 หรือคิดเป็น 57.21 เพราะทำงานดี มีผลงานให้เห็น น่าจะแก้ปัญหากทม.ได้ดีกว่าคนอื่น สานงานต่อจากเดิมได้ ฯลฯ รองลงมาเลือกนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ร้อยละ 17.61 เพราะ อยากให้โอกาสคนใหม่ๆ เข้ามาทำงานบ้าง ชอบนโยบาย ชื่นชอบเป็นการส่วนตัว ฯลฯ

นายประภัสร์ จงสงวน ร้อยละ 13.16 เพราะ ทำงานดี มีผลงานให้เห็น อยากให้โอกาสคนใหม่ๆ เข้ามาทำงานบ้าง นายเกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ร้อยละ 8.55 เพราะชอบนโยบาย มีทีมงานที่น่าเชื่อถือ และนางลีนา จังจรรจา ร้อยละ 0.68 เพราะ เปิดโอกาสให้คนใหม่ๆ เข้ามาทำงานบ้าง มีความมุ่งมั่น ฯลฯ ขณะที่มีกลุ่มที่ยังไม่ตัดสินใจ ร้อยละ 2.79

ส่วนแฟนพันธุ์แท้ของผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. แต่ละคน คือ พบว่าแฟนพันธุ์แท้ ของนายอภิรักษ์ คือ กลุ่มเพศหญิงอายุระหว่าง 41 – 50 ปี ระดับการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี อาชีพ พนักงานบริษัท รับจ้าง ขณะที่แฟนพันธุ์แท้ นายชูวิทย์ คือ กลุ่มเพศชาย อายุระหว่าง 21– 40 ปี ระดับการศึกษาปริญญาตรี อาชีพพนักงานบริษัท รับจ้าง แฟนพันธุ์แท้ นายประภัสร์ คือ กลุ่มเพศหญิง อายุระหว่าง 41– 50 ปี ระดับการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี อาชีพ พนักงานบริษัท รับจ้าง และธุรกิจส่วนตัว ค้าขายทั่วไป แฟนพันธุ์แท้ นายเกรียงศักดิ์ คือ กลุ่มเพศหญิงและเพศชายพอๆ กัน อายุระหว่าง 31– 40 ปี ระดับการศึกษาปริญญาตรี อาชีพ พนักงานบริษัท รับจ้าง และธุรกิจส่วนตัว ค้าขายทั่วไป ในสัดส่วนใกล้เคียงกัน

ส่วนความเห็น “บทเรียน” จากการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ครั้งที่ผ่านมา พบว่ามีผลงานน้อย บางโครงการยังไม่ได้เริ่มดำเนินการ ทำงานล่าช้า ร้อยละ 49.59 ทำไม่ได้เหมือนอย่างที่พูดไว้ในตอนหาเสียง ร้อยละ 19.83 ปัญหาเหมือนเดิม ซ้ำซาก ร้อยละ12.40 ควรเลือกจากบุคคลที่มีความเหมาะสมมากที่สุด ร้อยะ 10.74

สำหรับคนที่เคยเลือก นายสมัคร สุนทรเวช เป็นผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งทำให้นายสมัครได้เกิน 1 ล้านคะแนน ครั้งนี้คนกลุ่มนี้เลือกนายอภิรักษ์ ร้อยละ 47.21 เลือกนายประภัสร์ ร้อยละ 23.35 นายชูวิทย์ ร้อยละ 20.30 นายเกรียงศักดิ์ ร้อยละ 8.12 และนางลีน่า ร้อยละ 1.02.-สำนักข่าวไทย

ที่มา: http://news.mcot.net/politic/inside.php?value=bmlkPTU2NTIyJm50eXBlPXRleHQ=

By:Ponlawat Suwankhammoon
ID:5131601420
Section:02
Blog:http://cats-society.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2551

นายกฯ พอใจความคืบหน้าบูรณะพระราชรถ พระราชยาน


กรุงเทพฯ 20 ก.ย. - นายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยมความคืบหน้าการบูรณะพระราชรถ พระราชยาน พอใจที่เกือบเสร็จสมบูรณ์แล้ว พร้อมมั่นใจผู้ชุมนุมที่สนามหลวงจะให้ความร่วมมือออกจากพื้นที่ เมื่อถึงพระราชพิธี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลาประมาณ 10.00 น. นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายชูศักดิ์ ศิรินิล รักษาการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เดินทางมาที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เพื่อติดตามความคืบหน้าการบูรณะพระราชรถ ราชยาน และเครื่องประกอบที่จะใช้ในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ โดยมีนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ให้การต้อนรับ

ทันทีที่นายกรัฐมนตรีมาถึง นายสมศักดิ์ได้ขอพูดคุยเป็นการส่วนตัวกับนายกรัฐมนตรี ประมาณ 10 นาที และระหว่างการเดินเยี่ยมชมภายในพิพิธภัณฑ์ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (20 ก.ย.) ได้เชิญกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน ประชุม ณ ที่ทำการพรรค เพื่อหารือเรื่องการบริหารภายในพรรค ส่วนเรื่องการพิจารณาบุคคลมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ยังไม่แล้วเสร็จ และเมื่อถูกถามว่า นายสมชายจะควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมด้วยหรือไม่ นายกรัฐมนตรีไม่ตอบ เพียงแต่ยิ้มเท่านั้น

นายสมชาย ให้สัมภาษณ์ว่า ที่ผ่านมาได้รับมอบหมายให้เป็นประธานรับผิดชอบการจัดงานพระราชพิธี และประธานจัดสร้างพระเมรุ และมาดูความคืบหน้าการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องหลายครั้งแล้ว ซึ่งการมาเยี่ยมวันนี้ รู้สึกพอใจมาก ทางผู้รับผิดชอบงานทำงานแข็งขันเสร็จตามเวลา ราชรถต่าง ๆ เสร็จสมบูรณ์เกือบ 100% แล้ว โดยตั้งแต่เดือน ต.ค.-พ.ย. จะมีพิธีซ้อมใหญ่ ซ้อมย่อยอย่างต่อเนื่อง

ส่วนกลุ่มผู้ชุมนุมที่ยังคงอยู่ในบริเวณที่ใช้ประกอบพระราชพิธี นายสมชาย กล่าวว่า ผู้ชุมนุมหรือใครก็ตาม เราเป็นคนไทยต้องจัดทำเพื่อถวายพระเกียรติ เชื่อว่าไม่มีปัญหา ส่วนการเชิญผู้นำประเทศต่าง ๆ มาร่วมพระราชพิธี ต้องหารือกับสำนักพระราชวัง เพราะเป็นพระราชพิธีภายใน

จากนั้น นายสมชายได้นั่งรถรางกรุงเทพฯ ออกจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เพื่อไปเยี่ยมชมสถานที่ก่อสร้างพระเมรุ ที่สนามหลวง โดยใช้เวลาประมาณ 20 นาที ก่อนออกเดินทางไปตรวจเยี่ยมสถานการณ์น้ำท่วมที่ จ.พระนครศรีอยุธยา. - สำนักข่าวไทย

ที่มา: http://news.mcot.net/politic/inside.php?value=bmlkPTE4NjM0Jm50eXBlPWNsaXA=

By:Ponlawat Suwankhammoon
ID:5131601420
Section:02
Blog:http://cats-society.blogspot.com/

รูปแบบการปกครองของไทย



เมืองหลวง: กรุงเทพมหานคร
ภาษาราชการ: ภาษาไทย
รัฐบาล: ระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญแบบรัฐสภา
- พระมหากษัตริย์: พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
- นายกรัฐมนตรี: สมชาย วงศ์สวัสดิ์

ประวัติศาสตร์

ประเทศไทยมีประวัติศาสตร์ยาวนาน นับแต่การล่มสลายของราชอาณาจักรขอม-จักรวรรดินครวัต นครธม เมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 13[1] และมีความสัมพันธ์กับอาณาจักรโบราณหลายแห่ง เช่น อาณาจักรทวารวดี ศรีวิชัย ละโว้ เขมร ฯลฯ

ประวัติศาสตร์ไทยเริ่มเป็นรูปเป็นร่างใน พ.ศ. 1781 ตรงกับสมัยอาณาจักรสุโขทัย และสมัยอาณาจักรล้านนาแห่งภาคเหนือ กระทั่งอาณาจักรสุโขทัยเสื่อมอำนาจลงในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 19 ความรุ่งเรืองจึงปรากฏในอาณาจักรทางใต้คือกรุงศรีอยุธยาแทน ครั้นเมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาเป็นครั้งที่สองใน พ.ศ. 2310 พระเจ้าตากสินจึงทรงย้ายราชธานีมาอยู่ที่กรุงธนบุรี อย่างไรก็ดี ในช่วงดังกล่าวประเทศไทยมีอาณาเขตไม่แน่ชัด

ภายหลังการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เมื่อพ.ศ. 2325 อาณาจักรสยามเริ่มมีความเป็นปึกแผ่น โดยได้มีการผนวกดินแดนบางส่วนของอาณาจักรล้านช้างเข้าเป็นส่วนหนึ่ง ครั้นในรัชกาลที่ 5 จึงได้มีการผนวกเอาเมืองเชียงใหม่ หรืออาณาจักรล้านนา อันเป็นการผนวกดินแดนครั้งใหญ่ครั้งสุดท้าย

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยแต่ก็ต้องรออีกถึงสี่สิบเอ็ดปีจึงจะได้นายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2516 ภายหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา อย่างไรก็ดี หลังจากนั้นมีเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยอีกสองครั้งคือ เหตุการณ์ 6 ตุลา และ เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ล่าสุดได้เกิดรัฐประหารขึ้นอีกครั้งในเดือนกันยายน พ.ศ. 2549 ซึ่งเป็นการยึดอำนาจจากรัฐบาลรักษาการ หลังจากได้มีการยุบสภาผู้แทนราษฎรเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2549

การปกครอง

เดิมประเทศไทยมีการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ตั้งแต่สมัยอาณาจักรอยุธยาเป็นต้นมา จนกระทั่งวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 คณะราษฎรได้กระทำรัฐประหาร ในสมัยรัชกาลที่ 7 และเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยแบ่งแยกอำนาจอธิปไตยเป็นสามฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ ปัจจุบัน ประเทศไทยดำรงอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ 18 แห่งราชอาณาจักรไทย

อำนาจนิติบัญญัติมีรัฐสภาซึ่งมีสมาชิกมาจากการเลือกตั้งโดยผู้มีสิทธิเลือกตั้งเป็นองค์กรบริหารอำนาจ อำนาจบริหารมีนายกรัฐมนตรีซึ่งมาจากการแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์ตามคำกราบบังคมทูลของประธานรัฐสภาและคณะรัฐมนตรีซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำกราบบังคมทูลของนายกรัฐมนตรีเป็นองค์กรบริหารอำนาจ และอำนาจตุลาการมีศาลซึ่งประกอบด้วยศาลยุติธรรม ศาลรัฐธรรมนูญ และศาลปกครองเป็นองค์กรบริหารอำนาจ

ปัจจุบัน ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาควบคู่ไปกับระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ประมุขแห่งรัฐได้แก่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ประมุขแห่งอำนาจอธิปไตยทั้งสาม ได้แก่ อำนาจนิติบัญญัติมีนายชัย ชิดชอบในฐานะประธานรัฐสภาเป็นประมุข อำนาจบริหารมีนายสมัคร สุนทรเวชในฐานะนายกรัฐมนตรีเป็นประมุข และอำนาจตุลาการมีนายวิรัช ลิ้มวิชัยในฐานะประธานศาลฎีกาเป็นประมุข

การแบ่งเขตการปกครอง



ประเทศไทยแบ่งเขตการบริหารออกเป็น การบริหารราชการส่วนภูมิภาค ได้แก่จังหวัด 75 จังหวัด และการปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบล ส่วน'สุขาภิบาล'นั้นถูกยกฐานะไปเป็นเทศบาลทั้งหมดในปี พ.ศ. 2542

ส่วนกรุงเทพมหานครและเมืองพัทยาเป็นเขตการปกครองแบบพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดปทุมธานี จังหวัดสมุทรสาครและจังหวัดนครปฐม ถูกเรียกเป็นเขตที่เรียกว่า "กรุงเทพมหานครและปริมณฑล"

ที่มา: http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2

By:Ponlawat Suwankhammoon
ID:5131601420
Section:02
Blog:http://cats-society.blogspot.com/

รูปแบบการปกครองของอิหร่าน


เมืองหลวง: เตหะราน
รัฐบาล: สาธารณรัฐอิสลาม
ผู้นำสูงสุด: อายะตุลลอห์ อาลี คาเมเนอี
ประธานาธิบดี: มาห์มูด อาห์มาดีเนจาด


ประเทศอิหร่าน (ภาษาเปอร์เซีย: Īrān, ایران) เป็นประเทศในตะวันออกกลาง ตั้งอยู่ในเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งช่วงก่อนปี พ.ศ. 2478 ชาวตะวันตกเรียกว่า เปอร์เซีย (Persia)

อิหร่านมีพรมแดนทางทิศตะวันออกติดต่อกับปากีสถาน (909 กิโลเมตร) และอัฟกานิสถาน (936 กิโลเมตร) ทิศตะวันออกเฉียงเหนือติดต่อกับเติร์กเมนิสถาน (1,000 กิโลเมตร) ทิศเหนือจรดทะเลแคสเปียน ทิศตะวันตกเฉียงเหนือติดต่อกับอาเซอร์ไบจาน (500 กิโลเมตร) และอาร์เมเนีย (35 กิโลเมตร) ตุรกี (500 กิโลเมตร) และอิรัก (1,458 กิโลเมตร) ส่วนทิศใต้จรดอ่าวเปอร์เซียและอ่าวโอมาน

ในปี พ.ศ. 2522 การปฏิวัตินำโดยอายะตุลลอห์ โคไมนี (Ayatollah Khomeini) ทำให้มีการก่อตั้งเป็น สาธารณรัฐอิสลามโดยโค่นล้มราชวงศ์ปาห์เลวีที่ปกครองภายใต้สาธารณรัฐอิสลามเทวาธิปไตย (theocratic Islamic republic) ทำให้ชื่อเต็มของประเทศนี้ในปัจจุบันคือ สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน (Islamic Republic of Iran, جمهوری اسلامی ایران)

อิหร่านเป็นสาธารณรัฐอิสลาม โดยมีโครงสร้างดังนี้

○ประมุขสูงสุด (Rahbar)
ประมุขสูงสุดของอิหร่าน เป็นผู้นำสูงสุดทั้งฝ่ายศาสนาจักรและอาณาจักร

○ประธานาธิบดี (Ra'is-e Jomhoor)
เป็นตำแหน่งที่ได้รับเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนทุก ๆ 4 ปี และจะได้รับเลือกตั้งได้ไม่เกิน 2 สมัย ทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายบริหาร ถึงแม้ประธานาธิบดีจะได้รับเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนก็ตาม แต่อาจถูกถอดถอนจากตำแหน่งโดยประมุขสูงสุดได้

○รองประธานาธิบดี
มีตำแหน่งรองประธานาธิบดี 6 คน และคณะรัฐมนตรี 20 คน ที่ได้รับความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ

○สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (Majlis)
ประกอบด้วยสมาชิกที่ได้รับเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนทุก ๆ 4 ปี จำนวน 290 คน ทำหน้าที่ออกกฎหมายและควบคุมฝ่ายบริหาร

การเมืองการปกครอง

• อิหร่านมีประวัติศาสตร์การปกครองแบบกษัตริย์เป็นระยะเวลานาน กษัตริย์พระองค์สุดท้ายของอิหร่าน คือ พระเจ้ามุฮัมมัด เรซา ชาห์ ปาฮ์ลาวี (Muhammad Reza Shah Pahlavi) เหตุการณ์ความวุ่นวายภายในประเทศทำให้พระเจ้าชาห์ ปาฮ์ลาวี เสด็จฯ ไปลี้ภัยต่างประเทศ เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2522และเสด็จสวรรคตเมื่อปี 2523 ที่อียิปต์

• เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2522 อญาโตลลอฮ์ รูโฮลาห์ โคไมนี (Ayatollah Ruhollah Khomeini) ผู้นำศาสนาอิสลามนิกายชีอะต์ ได้ประกาศเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองประเทศอิหร่านเป็นสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน (Islamic Republic of Iran) โดยใช้หลักการทางศาสนาอิสลาม หรือ การปกครองในรูปแบบเทวาธิปไตย (Theocratic republic) เป็นแนวทางในการปกครองประเทศ การปฏิบัติตนในสังคมรวมถึงการแต่งกายตามหลักศาสนาอิสลาม และต่อต้านอิทธิพลของโลกตะวันตก ทั้งนี้ ผู้นำสูงสุด (Supreme leader) ซึ่งถือเป็นผู้นำทั้งฝ่ายศาสนาจักรและอาณาจักร เป็นประมุขสูงสุดของประเทศ

• หลังการเสียชีวิตของอยาโตลลอฮ์ รูโฮลาห์ โคไมนี ในปี 2523 อิหร่านมีการเลือกผู้นำสูงสุดคนใหม่ คือ อยาโตลลอฮ์ อะลี โฮไซนี คาไมนี (Ayatollah Ali Hoseini Khamenei) อย่างไรก็ดี การเมืองภายในอิหร่าน เริ่มมีการแข่งขันระหว่างกลุ่มการเมืองสายอนุรักษ์นิยมเคร่งศาสนา กับกลุ่มปฏิรูปหัวก้าวหน้าในรัฐสภา

• ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กลุ่มการเมืองสายปฏิรูปได้รับเลือกตั้งเป็นเสียงข้างมากในสภาได้พยายามเปลี่ยนแปลงประเทศให้ทันสมัย ในปี 2547 กลุ่มอนุรักษ์นิยม ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มเคร่งศาสนาอิสลาม ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งในรัฐสภาเหนือฝ่ายปฏิรูป นโยบายของกลุ่มอนุรักษ์นิยมจึงทำให้อิหร่านกลับไปมีนโยบายอนุรักษ์นิยมและเคร่งศาสนามากยิ่งขึ้น โดยเห็นได้จากนโยบายของอิหร่านในการพัฒนาโครงการนิวเคลียร์ซึ่งได้รับการคัดค้านจากหลายประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา

• ปัจจุบัน ประธานาธิบดีสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ได้แก่ นายมาห์มูด อามาดิเนจาด (Mahmoud Ahmadinejad) ซึ่งมีแนวคิดอนุรักษ์นิยม โดยนายอามาดิเนจาด ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีอิหร่าน เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2548 ด้วยคะแนนเสียงสนับสนุนร้อยละ 62

ประเทศอิหร่านแบ่งออกเป็น 30 จังหวัด (provinces - ostanha) แต่ละจังหวัดปกครองโดยผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งมาจากการแต่งตั้ง (استاندار: ostāndār)
1.เตหะราน 2.กุม 3.มาร์กาซี 4.กาซวีน 5.กีลาน 6.อาร์ดะบีล 7.ซานจาน 8.อาซาร์ไบจานชัรกี 9.อาซาร์ไบจานฆอรบี 10.กุรดิสตาน 11.ฮามาดาน 12.กิรมานชาห์ 13.อีลาม 14.ลอริสถาน 15.คูเซสถาน 16. ชาฮาร์มาฮาลและบัคเตียรี 17.โคห์กีลูเยห์และบูเยอร์อาห์มัด 18.บูเชร์ 19.ฟาร์ส 20.โฮร์โมซกอน 21.ซิสถานและบาลูจิสถาน 22.กิรมาน 23.ยาซด์ 24.เอสฟาฮาน 25.เซมนาน 26.มาซันดะรอน 27.โกเลสถาน 28.โคราซานชีมาลี 29.โคราซานราซาวี 30.โคราซานจานูบี

ที่มา: http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99

By:Ponlawat Suwankhammoon
ID:5131601420
Section:02
Blog:http://cats-society.blogspot.com/

รูปแบบการปกครองของญี่ปุ่น


เมืองหลวง: โตเกียว
รัฐบาล: ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ
- จักรพรรดิ: สมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ
- นายกรัฐมนตรี: ยะซุโอะ ฟุกุดะ


คำว่าจังหวัดในภาษาญี่ปุ่นมี 4 แบบ คือ
โทะ (都) ใช้เฉพาะโตเกียวซึ่งเป็นเมืองหลวง
โด (道) เฉพาะฮอกไกโด
ฟุ (府) ใช้กับเกียวโตะและโอซะกะซึ่งเคยเป็นเมืองหลวงในอดีต
เค็ง (県) ใช้กับจังหวัดอื่น ๆ
เมื่อพูดถึงจังหวัดรวม ๆ จะใช้ว่า โทะโดฟุเก็ง (都道府県)
ประเทศญี่ปุ่นมีเมืองใหญ่เป็นจำนวนมาก ซึ่งแต่ละเมืองต่างมีส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศ ทั้งทางด้าน เศรษฐกิจ สังคม และ วัฒนธรรม

การเมืองการปกครอง

ประเทศญี่ปุ่นปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยแบบเสรีภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยมีสมเด็จพระจักรพรรดิทรงเป็นประมุข แต่มีรัฐสภาเป็นสถาบันสูงสุดของรัฐ มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าของคณะรัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรีได้รับเลือกจากสมาชิกรัฐสภา นอกจากนี้ตามรัฐธรรมนูญญี่ปุ่นฉบับที่ได้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2490 (ค.ศ. 1947) หรือฉบับปัจจุบันได้มีการบัญญัติไว้ว่าสมเด็จพระจักรพรรดิทรงเป็นสัญลักษณ์ของประเทศ มิใช่องค์ประมุขและไม่มีอำนาจในการบริหารประเทศ
รัฐสภา (国会, คกไก) ประกอบด้วย 2 สภา คือ
สภาผู้แทนราษฎร (衆議院, ชูงิอิง) มีสมาชิก 480 คน มาจากการเลือกตั้งทั่วประเทศ มีวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี และ
วุฒิสภา (参議院, ซังงิอิง) มีสมาชิก 242 คน มีวาระในการดำรงตำแหน่ง 6 ปี โดยเลือกตั้งจำนวนครึ่งหนึ่งสลับกันไปทุก 3 ปี
พรรคการเมืองได้แก่
พรรคเสรีประชาธิปไตย (自由民主党) เป็นพรรคแกนนำรัฐบาล มีที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร
294 ที่นั่ง (สตรี 26 คน) ในวุฒิสภา 111 ที่นั่ง (สตรี 12 คน) หัวหน้าพรรคคือนายยาซุโอะ ฟุคุดะ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

พรรคโคเมโตใหม่ (公明党) เป็นพรรคร่วมรัฐบาล มีที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร 31 ที่นั่ง (สตรี 4 คน) ในวุฒิสภา
24 ที่นั่ง (สตรี 5 คน) หัวหน้าพรรคคือนายอะกิฮิโระ โอตะ

พรรคประชาธิปไตยญี่ปุ่น (Democratic Party of Japan: DPJ : Minshuto) แกนนำฝ่ายค้าน มีที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร 113 ที่นั่ง (สตรี 10 คน) ในวุฒิสภา 82 ที่นั่ง (สตรี 11 คน)
หัวหน้าพรรคคือนายอิจิโร โอะซะวะ

พรรคสังคมประชาธิปไตยญี่ปุ่น (Social Democratic Party of Japan : SDP) เป็นพรรคฝ่ายค้าน มีที่นั่ง
ในสภาผู้แทนราษฎร 7 ที่นั่ง (สตรี 2 คน) ในวุฒิสภา 6 ที่นั่ง (สตรี 1 คน) หัวหน้าพรรคคือนางมิซุโฮะ ฟุคุชิมะ

พรรคคอมมิวนิสต์ (Japan Communist Party - JCP) เป็นพรรคฝ่ายค้าน มีที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร 9 ที่นั่ง (สตรี 2 คน) ในวุฒิสภา 9 ที่นั่ง (สตรี 3 คน) หัวหน้าพรรคคือนายคะซุโอะ ชิอิ

การแบ่งเขตการปกครอง

ญี่ปุ่นแบ่งการปกครองออกเป็น 47 จังหวัด(บริเวณเขตและจังหวัดต่างๆของญี่ปุ่น) และ 8 ภูมิภาค ซึ่งมักจะถูกจับเข้ากลุ่มตามเขตแดนที่ติดกันที่มีวัฒนธรรมและสำเนียงการพูดใกล้เคียงกัน ทุกจังหวัดจัดให้มีการเลือกตั้งเพื่อเลือกผู้ว่าราชการจังหวัด

ฮอกไกโด 1. ฮอกไกโด

โทโฮะกุ 2. อะโอะโมะริ3. อิวะเตะ4. มิยะงิ5. อะกิตะ6. ยะมะงะตะ 7. ฟุกุชิมะ
คันโต8. อิบะระกิ9. โทะจิงิ10. กุนมะ11. ไซตะมะ12. จิบะ13. โตเกียว14. คะนะงะวะ

จูบุ 15. นิอิงะตะ16. โทะยะมะ17. อิชิกะวะ18. ฟุกุอิ19. ยะมะนะชิ20. นะงะโนะ21. กิฟุ22. ชิซึโอะกะ23. ไอจิ

คันไซ 24. มิเอะ25. ชิงะ26. เกียวโตะ27. โอซะกะ28. เฮียวโงะ29. นะระ30. วะกะยะมะ

จูโงะกุ 31. โทตโตะริ32. ชิมะเนะ33. โอะกะยะมะ34. ฮิโระชิมะ35. ยะมะงุจิ

ชิโกะกุ 36. โทะกุชิมะ37. คะงะวะ38. เอะฮิเมะ39. โคจิ

คิวชู และ โอะกินะวะ 40. ฟุกุโอะกะ41. ซะงะ42. นะงะซะกิ43. คุมะโมะโตะ44. โออิตะ45. มิยะซะกิ46. คะโงะชิมะ47. โอะกินะวะ

ที่มา: http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%8D%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99

By:Ponlawat Suwankhammoon
ID:5131601420
Section:02
Blog:http://cats-society.blogspot.com/

รูปแบบการปกครองของสหรัฐอเมริกา


สหรัฐอเมริกา (United States of America) เป็นสหพันธรัฐประชาธิปไตย ปกครองภายใต้รัฐธรรมนูญ ประกอบไปด้วยมลรัฐ 50 มลรัฐ ตั้งอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือ มีพรมแดนต่อกับประเทศแคนาดาและเม็กซิโก ส่วนพรมแดนทางทะเลนั้นติดต่อกับประเทศแคนาดา รัสเซียและบาฮามาส โดยมีมหาสมุทรแปซิฟิก ทะเลแบริง มหาสมุทรอาร์กติก มหาสมุทรแอตแลนติก อ่าวเม็กซิโก และทะเลแคริบเบียนเป็นผืนน้ำล้อมรอบ

ประวัติศาสตร์

ก่อนที่ประเทศสหรัฐอเมริกา (รวมถึงอาณานิคมก่อนหน้านั้น) จะถูกก่อตั้งขึ้น พื้นที่ทั้งหมดของสหรัฐฯในปัจจุบันเดิมเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับชนพื้นเมืองชาวอเมริกันมาก่อนเป็นเวลาถึง 15,000 ปี จนกระทั่งในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ได้มีการสำรวจบุกเบิกและตั้งถิ่นฐานของชาวยุโรปเริ่มต้นขึ้น ราชอาณาจักรอังกฤษได้ทำการก่อตั้งอาณานิคมใหม่ และเข้าควบคุมอาณานิคมที่ก่อตั้งมาก่อนอื่นๆ จนกระทั่งในที่สุด หลังจากที่ถูกรัฐบาลตัวแทนจากเกาะบริเตนปกครองมาเป็นเวลาร้อยกว่าปี อาณานิคมที่ตกอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษจำนวน 13 อาณานิคมได้ทำการประกาศอิสรภาพในวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1776 (พ.ศ. 2319) ทำให้เกิดสงครามปฏิวัติอเมริกาขึ้น และแล้วสงครามก็สิ้นสุดลงใน ค.ศ. 1783 (พ.ศ. 2326) โดยชัยชนะเป็นของอดีตอาณานิคม เมื่อราชอาณาจักรอังกฤษยอมรับอดีตอาณานิคมที่อังกฤษเคยปกครองมาก่อนให้เป็นประเทศใหม่ ตั้งแต่นั้นมาประเทศก่อตั้งใหม่ที่ถูกเรียกว่า "สหรัฐอเมริกา" ก็แผ่ขยายอาณาเขตของตนเองจาก 13 มลรัฐไปถึง 50 มลรัฐกับอีกหนึ่งเขตปกครองกลาง รวมถึงดินแดนภายใต้การปกครองอีกหลายแห่งอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ทำให้สหรัฐอเมริกามีขนาดใหญ่กว่าเดิมถึงกว่า 4 เท่าตัว และด้วยเนื้อที่กว่า 9.1 ล้านตารางกิโลเมตรของสหรัฐอเมริกา ทำให้สหรัฐฯกลายเป็นประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก (แต่ในบางแหล่งข้อมูลที่ทำการจัดอันดับ สาธารณรัฐประชาชนจีนจะอยู่ในอันดับสาม ส่วนสหรัฐจะตกไปอยู่อันดับสี่ ถ้าทำการนับจีนไทเปรวมเข้าไปด้วย) อีกทั้งสหรัฐฯ ยังเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับสาม ด้วยจำนวนประชากรถึงเกือบ 300 ล้านคน

มลรัฐของสหรัฐอเมริกา 48 มลรัฐ (ซึ่งมักจะถูกเรียกว่าแผ่นดินใหญ่) ตั้งอยู่บนดินแดนระหว่างแคนาดาและเม็กซิโก ส่วนอะแลสกาและฮาวายนั้น ไม่ได้อยู่ติดกับรัฐอื่น นอกจากนี้ สหรัฐอเมริกายังมีดิสตริกต์ออฟโคลัมเบียซึ่งเป็นเขตปกครองกลางประจำสมาพันธรัฐเป็นเมืองหลวง รวมถึงดินแดนที่อยู่ภายใต้การปกครองของสหรัฐอเมริกาอยู่ทั่วโลก มลรัฐทั้ง 50 มลรัฐของสหรัฐอเมริกานั้นมีสิทธิในการปกครองตนเองในระดับสูงภายใต้ระบบสหพันธรัฐ

สหรัฐอเมริกาได้ธำรงค์การปกครองระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยเสรี มาตั้งแต่การประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกาในวันที่ 17 กันยายน ค.ศ. 1787 (พ.ศ. 2330) ตั้งแต่นั้นมา สถานะการเมืองของสหรัฐอเมริกายังคงมั่นคงมาจวบจนถึงทุกวันนี้ โดยสถานะทางเศรษฐกิจและทางทหารของสหรัฐฯ ได้เพิ่มขึ้นอย่างคงที่ตลอดช่วงกลางถึงช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 ผ่านทั้งสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสงครามโลกครั้งที่สอง โดยทั้งสองครั้งอยู่ในฝ่ายผู้ชนะ จากนั้นมาสหรัฐฯ ก็เป็นประเทศอภิมหาอำนาจคู่กับสหภาพโซเวียต และทำสงครามแนวใหม่ที่เรียกว่า "สงครามเย็น" ต่อกัน จนกระทั่งในคริสตทศวรรษที่ 90 (พ.ศ. 2533-2534) เมื่อสหภาพโซเวียตได้ล่มสลายลง ทำให้สหรัฐอเมริกากลายเป็นประเทศ "อภิมหาอำนาจ" หนึ่งเดียว มาจนถึงทุกวันนี้

การแบ่งเขตการปกครอง

คอนเนตทิคัต
เคนทักกี
แคนซัส
แคลิฟอร์เนีย
โคโลราโด
จอร์เจีย
เซาท์แคโรไลนา
เซาท์ดาโคตา
เดลาแวร์
เทกซัส
เทนเนสซี
นอร์ทแคโรไลนา
นอร์ทดาโกตา
นิวเจอร์ซีย์
นิวเม็กซิโก
นิวยอร์ก
นิวแฮมป์เชียร์
เนแบรสกา
เนวาดา
เพนซิลเวเนีย
ฟลอริดา
มอนแทนา
มิชิแกน
มินนิโซตา
มิสซิสซิปปี
มิสซูรี
เมน
แมริแลนด์
แมสซาชูเซตส์
ยูทาห์
โรดไอแลนด์
วอชิงตัน
วิสคอนซิน
เวสต์เวอร์จิเนีย
เวอร์จิเนีย
เวอร์มอนต์
ไวโอมิง
ลุยเซียนา
แอริโซนา
ออริกอน
อะแลสกา
อาร์คันซอ
แอละแบมา
อินดีแอนา
อิลลินอยส์
โอคลาโฮมา
โอไฮโอ
ไอดาโฮ
ไอโอวา
ฮาวาย
รายชื่อมลรัฐในสหรัฐอเมริกา เรียงตามลำดับการก่อตั้ง

นอกจากนี้ยังประกอบด้วยดินแดนอื่น ๆ ได้แก่ ดินแดน ดิสตริกต์ออฟโคลัมเบีย ซึ่งเป็นที่ตั้งของกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมืองหลวงของประเทศ และดินแดนโพ้นทะเลอื่น ๆ ที่สำคัญได้แก่ อเมริกันซามัว กวม จอห์นสตันอะทอลล์ หมู่เกาะมิดเวย์ หมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนา เปอร์โตริโก และหมู่เกาะเวอร์จินของสหรัฐอเมริกา และอีกหนึ่งดินแดนคือเขตคลองปานามาที่สหรัฐอเมริกาเช่าไว้จากปานามา

โครงสร้างทางการเมืองการปกครอง

มีรูปแบบการปกครองแบบสหพันธรัฐ ( Federal Republic) แบ่งอำนาจออกเป็น 3 ฝ่าย ภายใต้บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ แต่ละฝ่ายได้รับเลือกในลักษณะที่แตกต่างกันออกไป จึงมีการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน (checks and balances) ประกอบด้วยพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรค คือ พรรครีพับลิกัน (Republican) และพรรคเดโมแครต (Democrat) ดังนี้

ฝ่ายบริหาร มีประธานาธิบดี (President) เป็นประมุขและเป็นหัวหน้ารัฐบาล (Chief of Executive) ได้รับเลือกจากการเลือกตั้งทั่วไป ร่วมกับรองประธานาธิบดีทุก 4 ปี ในวันอังคารแรกหลังวันจันทร์แรกของเดือนพฤศจิกายน ประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งผ่านคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) จำนวน 538 คน ดำรงตำแหน่งไม่เกิน 2 สมัย สมัยละ 4 ปี ประธานาธิบดีจะเป็นผู้ร่างรัฐบัญญัติต่อรัฐสภา และทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้ทำสนธิสัญญาต่าง ๆ ตลอดจนแต่งตั้งผู้พิพากษาเอกอัครราชทูตและตำแหน่งต่าง ๆ ของฝ่ายบริหารตั้งแต่ระดับรองผู้ช่วยรัฐมนตรี (Deputy Assistant Secretary) ขึ้นไป

ฝ่ายนิติบัญญัติ ประกอบด้วย 2 สภา คือ

วุฒิสภา มีสมาชิกจากแต่ละมลรัฐ มลรัฐละ 2 คน รวมเป็น 100 คน ดำรงตำแหน่งสมัยละ 6 ปี โดยสมาชิกจำนวน 1 ใน 3 ครบวาระทุก 2 ปี วุฒิสภามีอำนาจให้ความเห็นชอบ หรือไม่เห็นชอบต่อบุคคลที่ประธานาธิบดีเสนอขอแต่งตั้ง รวมทั้งคณะรัฐมนตรี และให้สัตยาบันสนธิสัญญา รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นผู้ดำรงตำแหน่งประธานวุฒิสภาโดยตำแหน่ง (President of the Senate)
สภาผู้แทนราษฎร มีสมาชิก 435 คน แบ่งตามสัดส่วนของประชากรในมลรัฐ คือ ประชากร 575,000 คน ต่อ สมาชิก 1 คน ดำรงตำแหน่งสมัยละ 2 ปี ประธานสภา (Speaker of the House)
ฝ่ายตุลาการ ประกอบด้วย ศาลชั้นต้น (Curcuit Court) ศาลอุทรณ์ (Appeal Court) และศาลฎีกา (Supreme Court) ศาลฎีกามีอำนาจที่จะล้มเลิกกฎหมายใด ๆ และการปฏิบัติการของฝ่ายบริหารที่ได้วินิจฉัยแล้วว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ ในการแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลฎีกานั้น ประธานาธิบดีเป็นผู้เสนอชื่อและวุฒิสภาเป็นผู้ให้การรับรอง โดยศาลสูงของสหพันธ์มีผู้พิพากษาทั้งหมด 9 คน ซึ่งตำรงตำแหน่งได้โดยไม่มีการกำหนดวาระ โดยประธานาธิบดีเป็นผู้เสนอชื่อและวุฒิสภาเป็นผู้ให้การรับรอง

สิทธิในการเลือกตั้ง : อายุ 18 ปีขึ้นไป

ที่มา: http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2

By:Ponlawat Suwankhammoon
ID:5131601420
Section:02
Blog:http://cats-society.blogspot.com/

รูปแบบการปกครองของจีน


ประเทศจีนมีการปกครองเป็นลัทธิสังคมนิยมในลักษณะของตนเอง มีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้กำหนดนโยบายต่างๆ ปัจจุบันมีนายหู จิ่นเทาเป็นประธานาธิบดี เลขาธิการพรรค และประธานคณะกรรมาธิการทหารส่วนกลาง และมีนายเวิน เจียเป่าเป็นนายกรัฐมนตรี

ประวัติการปฏิวัติ

การปฏิวัติครั้งแรกของจีนเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2454 (ค.ศ. 1911) ซึ่งเป็นการโค่นล้มอำนาจการปกครองของราชวงศ์ชิง โดยการนำของ ดร. ชุน ยัตเซน หัวหน้าพรรคก๊กมินตั๋ง เป็นผลทำให้จีนเปลี่ยนแปลงการปกครองเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยในที่สุด

สาเหตุที่ก่อให้เกิดการโค่นล้มอำนาจครั้งนี้น่าจะมาจากความเสื่อมโทรมของสภาพสังคมจีน ผู้นำประเทศจักรพรรดิแมนจูไม่มีอำนาจกำลังพอที่จะปกครองประเทศได้ ซึ่งตลอดระยะเวลาปกครอง 268 ปี (พ.ศ. 2187 – 2455) มีแต่การแย่งชิงอำนาจในหมู่ผู้นำราชวงศ์ ด้วยเหตุนี้ราษฎรส่วนมากจึงตกอยู่ในสภาพยากจน ชาวไร่ชาวนาถูกขูดรีดภาษีอย่างหนัก ถูกเอารัดเอาเปรียบจากเจ้าของที่ดิน ชาวต่างชาติเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ แผ่นดินจีนถูกคุกคามจากต่างชาติ โดยเฉพาะชาติมหาอำนาจตะวันตก และญี่ปุ่น ซึ่งจีนทำสงครามต่อต้านการรุกรานของกองกำลังต่างชาติเป็นฝ่ายแพ้มาโดยตลอด ทำให้คณะปฏิวัติไม่พอใจระบอบการปกครองของราชวงศ์แมนจู


เพื่อความสำเร็จในการแก้ปัญหาของของประเทศชาติ ดร.ซุน ยัตเซ็น ผู้นำฯ จึงได้ประกาศอุดมการณ์ของการปฏิวัติ 3 ประการ เรียกว่า “ลัทธิไตรราษฎร์” มีหัวข้อดังนี้
ประชาธิปไตย มีการปกครองในระบอบสาธารณรัฐประชาธิปไตย และมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ
ชาตินิยม ต้องขับไล่อำนาจและอิทธิพลของต่างชาติออกไปจากจีน
สังคมนิยม มีการจัดสรรที่ดินให้แก่เกษตรกร
3. การปฏิวัติของจีนครั้งที่สอง ปี ค.ศ. 1949
3.1 ความสำคัญ การปฏิวัติของจีนครั้งที่สอง ปี ค.ศ. 1949 โดยการนำของ “เหมา เจ๋อตุง” ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสาธารณรัฐประชาธิปไตย ข้าสู่ระบอบสังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์
3.2 สาเหตุการปฏิวัติของจีนครั้งที่สอง ปี ค.ศ. 1949 ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติลง (ค.ศ. 1939 – 1945) สรุปได้ดังนี้
(1) ปัญหาความเสื่อมโทรมทางเศรษฐกิจและความยากจนของประชาชน ซึ่งรัฐบาลของประธานาธิบดี เจียง ไคเช็ค ไม่สามารถแก้ปัญหาได้
(2) การเผยแพร่อุดมการณ์คอมมิวนิสต์ในประเทศจีน เพื่อมุ่งแก้ไขปัญหาความยากจนของราษฎร โดยให้ความสำคัญแก่ชนชั้นผู้ใช้แรงงานและเกษตรกร และเป็นศัตรูกับชนชั้นนายทุน
3.3 ความสำเร็จของการปฏิวัติของจีนปี ค.ศ. 1949 สรุปได้ดังนี้
(1) ระบอบคอมมิวนิสต์ในยุคของ “เหมา เจ๋อตุง” รัฐบาลได้ยึดที่ดินทำกินของ เอกชนมาเป็นของรัฐบาล และใช้ระบบการผลิตแบบนารวม (หรือระบบคอมมูน) ชาวนามีฐานะเป็นแรงงานของรัฐ ทำให้ชาดความกระตือรือร้นเพราะทุกคนได้รับผลตอบแทนท่ากัน ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนส่วนใหญ่มีสภาพลำบากยากจนเหมือนๆ กัน
(2) ระบอบคอมมิวนิสต์ในยุคของ “เติ้ง เสี่ยวผิง” เป็นยุคที่จีนปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศให้เป็นระบบตลาดหรือทุนนิยม โดยมรับแนวทางทุนนิยมของชาติตะวันตกมากขึ้น เช่น เปิดรับการลงทุนจากต่างชาติเพื่อให้คนจีนมีงานทำ และอนุญาตให้ภาคเอกชนดำเนินธุรกิจการค้าได้ เป็นต้น ทั้งนี้ มีระบอบการปกครองยังคงเป็นคอมมิวนิสต์เหมือนเดิม
(2) นโยบาย “หนึ่งประเทศ สองระบบ” ในสมัยของ “เติ้ง เสี่ยวผิง” หมายถึง มี ประเทศจีนเพียงประเทศเดียว แต่มีระบบเศรษฐกิจและการปกครอง 2 แบบ ได้แก่
- ระบอบคอมมิวนิสต์ สำหรับจีน
- ระบอบประชาธิปไตยและทุนนิยมเสรี สำหรับฮ่องกงและมาเก๊า
3.4 ผลกระทบของการปฏิวัติจีนครั้งที่สอง ปี ค.ศ. 1949 คือ
(1) การปฏิวัติของ “เหมา เจ๋อตง” เป็นแบบอย่างในการปฏิวัติของกระบวนการ คอมมิวนิสต์ในประเทศกำลังพัฒนา ทั้งในทวีปเอเชีย แอฟริกา และอมริกาใต้ โดยเฉพาะการใช้ยุทธศาสตร์ “ป่าล้อมเมือง” โดยเริ่มจากการปฏิวัติของเกษตรในชนบทและค่อยๆ ขยายเข้าไปสู่เมือง
(2) การปฏิรูปเศรษฐกิจตามแนวของ “เติ้ง เสี่ยวผิง” โดยมรับระบบทุนนิยมของโลกตะวันตก เป็นคัวอย่างความสำเร็จของการแยกระบบการปกครองออกจากระบบเศรษฐกิจ

การเมือง

หู จิ่นเทา ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน
เวิน เจียเป่า นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน
ประเทศจีนมีการปกครองเป็นลัทธิสังคมนิยมในลักษณะของตนเอง มีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้กำหนดนโยบายต่างๆ ปัจจุบันมีนายหู จิ่นเทาเป็นประธานาธิบดี เลขาธิการพรรค และประธานคณะกรรมาธิการทหารส่วนกลาง และมีนายเวิน เจียเป่าเป็นนายกรัฐมนตรี


การแบ่งเขตการปกครอง

เขตการปกครองของจีนนั้น ตามรัฐธรรมนูญของจีน มีอยู่ด้วยกัน 3 ระดับ ได้แก่ มณฑล อำเภอ และ ตำบล แต่ในปัจจุบันได้เพิ่มมาอีก 2 ระดับ คือ จังหวัด และ หมู่บ้าน ซึ่งถ้านำมาเรียงใหม่จะได้เป็น มณฑล จังหวัด อำเภอ ตำบล และ หมู่บ้าน
สาธารณรัฐประชาชนจีนมีอำนาจการปกครองเหนือ 22 มณฑล (省) และรัฐบาลจีนยังถือ
ไต้หวัน/ไถวาน (台湾) เป็นมณฑลที่ 23 (มีข้อมูลเพิ่มเติมที่ ฐานะทางการเมืองของสาธารณรัฐจีน)
รัฐบาลจีนยังอ้างสิทธิเหนือเกาะต่าง ๆ ในทะเลจีนใต้ด้วย นอกจากมณฑลแล้วยังมีเขตปกครองตนเอง
(自治区) 5 แห่งซึ่งมีชนกลุ่มน้อยอาศัยอยู่มาก เทศบาลนคร (直辖市) 4 แห่งสำหรับเมืองที่ใหญ่ที่สุดในจีน และเขตบริหารพิเศษ (Special Administrative Regions, SARs) (特别行政区) ที่จีนเข้าไปปกครอง
โดยการแบ่งพื้นที่การปกครองเป็นดังนี้
มณฑล
อันฮุย (安徽)
ฝูเจี้ยน (福建) (ฮกเกี้ยน)
กานซู (甘肃)
กว่างตง (กวางตุ้ง)(广东)
กุ้ยโจว (贵州)
ไห่หนาน (ไหหลำ)(海南)
เหอเป่ย์ (河北)
เฮย์หลงเจียง (黑龙江)
เหอหนัน (河南)
หูเป่ย์ (湖北)
หูหนาน (湖南)
เจียงซู (江苏)
เจียงซี (江西)
จี๋หลิน (吉林)
เหลียวหนิง (辽宁)
ชิงไห่ (青海)
ส่านซี (陕西)
ซานตง (山东)
ซานซี (山西)
ซื่อชวน (เสฉวน) (四川)
หยุนหนาน (ยูนนาน) (云南)
เจ๋อเจียง (浙江)
เขตปกครองตนเอง
กว่างซีจ้วง (กวางสี) (广西壮族)
มองโกเลียใน (内蒙古)
หนิงเซี่ย หุย (宁夏回族)
ซินเจียงอุยกูร์ (新疆维吾尔族)
ทิเบต (西藏)
เทศบาลนคร
เป่ย์จิง (ปักกิ่ง) (北京)
ฉงชิ่ง (จุงกิง) (重庆)
ซ่างไห่ (เซี่ยงไฮ้) (上海)
เทียนจิน (เทียนสิน) (天津)
เขตบริหารพิเศษของสาธารณรัฐประชาชนจีน
ฮ่องกง/เซียงกั่ง (香港)
มาเก๊า/เอ้าเหมิน (澳門)

ที่มา: http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99#.E0.B8.81.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B9.80.E0.B8.A1.E0.B8.B7.E0.B8.AD.E0.B8.87


By:Ponlawat Suwankhammoon
ID:5131601420
Section:02
Blog:http://cats-society.blogspot.com/

วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2551

“สนธิ” ย้ำไม่เอา 3 ส.และ “บรรหาร” - ลั่นสู้ไม่ถอยเพื่อ “ประชาภิวัฒน์”






เมื่อเวลา 21.35 น. วันที่ 14 ก.ย. หลังจากนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้อ่านแถลงการณ์พันธมิตรฯ ฉบับที่ 22/2551 ซึ่งได้ประกาศจุดยืนของพันธมิตรฯ ไม่ยอมรับนายกรัฐมนตรีที่มาจากพรรคพลังประชาชน รวมทั้งนักการเมืองที่ตระบัดสัตย์อย่างนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย โดยเรียกร้องให้มีการเลือกคนดีมาเป็นนายกฯ และนำไปสู่การจัดตั้ง “สภาประชาภิวัฒน์” เพื่อทำการปฏิรูปการเมืองนำไปสู่การเมืองใหม่แล้ว นายสนธิได้ปราศรัยเพิ่มเติมว่า แถลงการณ์ฉบับนี้ เป็นการแสดงจุดยืนของพันธมิตรฯ หลังจากที่ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้ออกมาแสดงจุดยืนในการสืบทอดระบอบทักษิณ ซึ่งเราจะไม่ยอมให้คนของพรรคพลังประชาชนขึ้นมาปกครองประเทศอีกเด็ดขาด เพราะนายสมชาย ก็คือน้องเขยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หากแก๊ง 3 ส.เข้ามาเป็นนายกฯ นั่นคือ การเป็นรัฐบาลของระบอบทักษิณ เราคงยอมไม่ได้

นายสนธิ กล่าวต่อว่า เราจะไม่มีวันยอมให้คนของ พ.ต.ท.ทักษิณเข้ามาปกครองอีก เป็นจุดยืนในการต่อสู้ของพวกเรานับตั้งแต่ปี 2549 ซึ่งหลังจากรัฐบาล คมช.และมีการจัดการเลือกตั้ง เขาก็ส่งนอมินีเข้ามา และตอนนี้เขาก็จะส่งน้องเขยเข้ามาอีก แม้นายสมชายจะโกหกว่า ไม่มีใบสั่งจากลอนดอน ซึ่งเป็นคนที่หนีอาญาแผ่นดิน หนีคดีโกงกินชาติบ้านเมือง จาบจ้วงสถาบัน ปล้นชาติ ขายแผ่นดินให้เขมร เรายอมไม่ได้ และจะขอสู้จนตาย ไม่ยอมถอยแม้แต่องคุลีเดียว

นายสนธิ กล่าวทิ้งท้ายว่า ในวันพุธหน้าจะมีการเลือก 3 ส.มาเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่ต่างจากการที่ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นรัฐบาล เพราะเขาก็จะเป็นรัฐมนตรีเงาที่ชักใยบงการมาจากลอนดอน พันธมิตรฯ ก็เลยต้องประกาศจุดยืน โดยยืนยันว่า พวกเราจะไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียว

ที่มา : http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?newsid=9510000109030

อภิชาติ หาลำเจียก เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตับ



กทม. 15 ก.ย. - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 14.40 น. วันนี้ (15 ก.ย.) นายอภิชาติ หาลำเจียก ส.ก.เขตดินแดง พรรคประชาธิปัตย์ เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตับ ด้วยวัย 54 ปี ที่โรงพยาบาลกลาง และในวันพรุ่งนี้ (16 ก.ย.) เวลา 16.00 น. จะมีพิธีรดน้ำศพ ณ ศาลา 6 วัดพระศรีมหาธ

นายอภิชาติ หาลำเจียก เกิดเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2497 จบเทคนิคการแพทย์ จากมหาวิทยาลัยมหิดล มีผลงานด้านการแสดงทั้งภาพยนตร์และละคร รวมถึงเป็นพิธีกรรายการเกมโชว์ ก่อนผันตัวเองเป็นผู้กำกับละคร เริ่มทำงานการเมือง โดยลงสมัคร ส.ส.กทม. ในนามพรรคกิจสังคม เมื่อปี 2529 แต่ไม่ได้รับเลือกตั้ง มาประสบความสำเร็จได้เป็น ส.ส.เขต 2 กาฬสินธุ์ พรรคกิจสังคม เมื่อปี 2531 และหลังเกิดเหตุ รสช.เมื่อปี 2535/1 ได้ย้ายไปสังกัดพรรคสามัคคีธรรม และได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.สมัยที่ 2 โดยช่วงเวลาดังกล่าว ได้มีบทบาทในการปกป้อง พล.อ.สุจินดา คราประยูร อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตประธาน รสช. และฝ่ายทหาร ส่งผลให้หลังจากนั้นไม่ว่าจะย้ายไปอยู่พรรคใด ก็ไม่ได้รับการเลือกตั้ง จนกระทั่งหันมาลงสมัคร ส.ก.ในนามกลุ่มมดงาน จึงได้รับเลือกตั้ง โดยเคยมีตำแหน่งเป็นถึงรองประธานสภากรุงเทพมหานคร หลังจากนั้นได้ย้ายพรรคมาลงสมัคร ส.ก.สังกัดพรรคไทยรักไทย และสุดท้ายได้รับเลือกเป็น สก.เขตดินแดง ในนามพรรคประชาธิปัตย์. -สำนักข่าวไทย


ที่มา:http://news.mcot.net/politic/inside.php?value=bmlkPTU1NDQ2Jm50eXBlPXRleHQ=
อัพเดตเมื่อ 2008-09-15 17:46:53

วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2551

รายการตาสว่างนั่งถกหานายกฯใหม่ มี5ตอน

รายการตาสว่างนั่งถกหานายกฯใหม่1

รายการตาสว่างนั่งถกหานายกฯใหม่1 - ดูวิดีโอทั้งหมด กดที่นี่

รายการตาสว่างนั่งถกหานายกฯใหม่2

รายการตาสว่างนั่งถกหานายกฯใหม่2 - ดูวิดีโอทั้งหมด กดที่นี่

รายการตาสว่างนั่งถกหานายกฯใหม่3

รายการตาสว่างนั่งถกหานายกฯใหม่3 - ดูวิดีโอทั้งหมด กดที่นี่

รายการตาสว่างนั่งถกหานายกฯใหม่4

รายการตาสว่างนั่งถกหานายกฯใหม่4 - ดูวิดีโอทั้งหมด กดที่นี่

รายการตาสว่างนั่งถกหานายกฯใหม่5

รายการตาสว่างนั่งถกหานายกฯใหม่5 - ดูวิดีโอทั้งหมด กดที่นี่

รายงานพิเศษ : พลิกปูม 3 ส.

13 ก.ย. -จับตาแคนดิเดทนายกรัฐมนตรี ที่ 3 ส. จากพรรคพลังประชาชนต้องขับเคี่ยวกันเพื่อนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 26 ของประเทศไทย แต่ละคนมีแรงหนุนแรงเชียร์จากสมาชิกพรรคพลังประชาชน มากน้อยเพียงใด ใครน่าจะมีโอกาส
ปรากฏการณ์สภาล่มเมื่อวันที่ 11 กันยายน ถือเป็นบันทึกประวัติศาสตร์การเมืองหน้าสำคัญ เพราะเป็นสภาที่ล่มระหว่างที่ต้องมีการโหวตนายกรัฐมนตรีคนใหม่
แม้นายสมัคร สุนทรเวช จะได้รับเสียงสนับสนุนจากกลุ่มเพื่อนเนวิน แต่ยังมีแรงต้านจาก ส.ส.อีสานพัฒนา และ ส.ส.เหนือกลุ่มวังบัวบาน ที่มีแกนนำอย่างนายยงยุทธ ติยะไพรัช นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ และกลุ่ม กทม.ของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ จนที่สุดต้องยอมถอดใจผ่านอดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
แคนดิเดทนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ที่พรรคพลังประชาชนต้องเดินหน้าสรรหา ยังคงเป็น 3 ส. ที่เป็นข่าวมาตลอด หากจะเปรียบเทียบขุมกำลังที่จะเป็นแรงหนุนให้ ส. ใด ส.หนึ่ง ขึ้นชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 26 จะเห็นได้ว่าแต่ละคนมีจุดเด่นจุดด้อยที่แตกต่างกัน
ส. แรก นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ดีกรีนักกฎหมายที่คร่ำหวอดในวงการยุติธรรม จนเกษียณอายุราชการ เข้าสู่แวดวงการเมืองเป็นตัวแทนนางเยาวภา ที่ต้องเข้าไปพักผ่อนในบ้านเลขที่ 111 ทั้งมีแรงหนุนจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ดังนั้น ส.ส.กลุ่มอีสานพัฒนา วังบัวบาน และ กทม. จึงพร้อมผลักดัน แม้จะมีจุดด้อย ข้อหาเป็นคนใกล้ชิดอดีตนายกรัฐมนตรี แต่น่าแปลกใจที่มีแรงเชียร์จากหัวหน้าพรรคประชาราช อย่างนายเสนาะ เทียนทอง และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ
ส. ที่สอง ที่คะแนนตามกันมาติด ๆ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ มีเส้นทางการเมืองอย่างโชกโชน จากพรรคการเมืองต่าง ๆ ทั้งเอกภาพ ชาติพัฒนา ไทยรักไทย เป็นอดีตรัฐมนตรีหลายสมัย ผงาดขึ้นมาเป็นแกนนำระดับต้น ๆ
หลังเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองกับพรรคไทยรักไทย นายสมพงษ์ น่าจะมีเสียงหนุนจากกลุ่มเดียวกับนายสมชาย ที่หากนายสมชาย ถูกโจมตีเป็นนอมินี
ส.สุดท้าย นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ที่เป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งปี 2541 กลายมาเป็นผู้บริหารคนสำคัญของพรรคพลังประชาชน ว่ากันว่าเป็นอีกคนหนึ่งที่อดีตนายกรัฐมนตรีให้ความไว้วางใจอย่างมากที่สุด ที่ผ่านมาได้รับการขนานนามเป็นหนึ่งในแก๊งออฟโฟร์ จึงมีแรงหนุนจากกลุ่มเพื่อนเนวิน และเครือข่ายจากภาคกลางบางส่วน ชากังราว และเพชรบูรณ์ แต่ส่วนตัวยังมีปัญหาคดีหวยบนดิน
ที่สุดแล้ว พลังประชาชนจะคัดเลือกใคร สิ่งที่ท้าทายข้างหน้าคือ ปัญหาทั้งศึกนอกและศึกใน ทั้งท่าทีของพันธมิตรฯ ที่ประกาศไม่ยอมรับทุกรายชื่อ และการประสานรอยร้าวระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ที่จะมีนัยสำคัญกับอายุรัฐบาล.

ที่มา:http://news.mcot.net/politic/inside.php?value=bmlkPTE4Mjk1Jm50eXBlPWNsaXA=
-สำนักข่าวไทยอัพเดตเมื่อ 2008-09-13 19:11:01

วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2551

ชักใย “ม็อบนรก” เดินเกมบุกปะทะ “พันธมิตรฯ” ตาย-เจ็บที่มัฆวาน!!









“ม็อบนรกป่วนกรุง” สุดเถื่อน! เคลื่อนขบวนจากสนามหลวงป่วนกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประกาศกร้าวยึดทำเนียบรัฐบาลคืนให้ได้ สุดสลดตำรวจปล่อยให้กลุ่ม นปก.ฝ่าด่านหน้า สน.นางเลิ้ง-แยก จปร.และหน้า บก.ทบ.เข้าไปอย่างง่ายดายจนเกิดเหตุปะทะกับ “การ์ดพันธมิตรฯ” เพราะต้องป้องกันชีวิตของตัวเอง และพี่น้องประชาชนที่ร่วมชุมนุมอยู่ในทำเนียบฯ ส่งผลให้หลังการปะทะมีผู้เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บอีกกว่า 40 ราย
2 กันยายน 2551 08:06 น.

นปช.ชี้ 9 แกนนำ พธม.กลัวถูกจับ

เมื่อวันที่ 31 ส.ค. ที่บริเวณหน้ารัฐสภาและที่ท้องสนามหลวงในช่วงเย็น ซึ่งกลุ่ม นปช.ยังปักหลักชุมนุมปราศรัยให้กำลังใจรัฐบาลและโจมตี 9 แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ และพรรคประชาธิปัตย์อย่างต่อเนื่องและดุเดือด โดยมีการให้เวลา 7 วัน กลุ่มพันธมิตรฯต้องยุติการชุมนุมยึดสถานที่ราชการ และสนามบินทั่วประเทศ มิฉะนั้นจะต้องไปหาแผ่นดินใหม่อยู่ ขณะที่ นายจรัล ดิษฐาอภิชัย ก็กล่าวท้าทายให้ 9 แกนนำพันธมิตรฯ ออกมาดีเบตกันผ่านสถานีโทรทัศน์ แต่เชื่อว่าทั้งหมดจะไม่กล้าออกมาเพราะกลัวถูกจับตามหมายจับ พร้อมกันนี้ก็ได้เรียกร้องกลุ่มพลังเงียบทั่วประเทศที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของกลุ่มพันธมิตรฯ ออกมาแสดงพลังถือป้ายประณามกลุ่ม พันธมิตรฯ และสนับสนุนรัฐบาลอย่างน้อยวันละ 1 ชม. เป็นประจำทุกวัน
พลังอีสานจี้ ตร.จัดการคนทำผิด
นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในหลายจังหวัดภาคอีสาน อาทิ บุรีรัมย์ อุบลราชธานี นครราชสีมา ร้อยเอ็ด ฯลฯ ก็มีประชาชนจากอำเภอต่างๆจำนวนมาก นำโดยผู้นำชุมชนและนักการเมืองพรรครัฐบาล ออกมาชุมนุมถือป้ายให้การสนับสนุนนายสมัคร สุนทรเวช ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีต่อไป และเรียกร้องให้รัฐบาล ใช้กฎหมายดำเนินการกับกลุ่มบุคคลที่ละเมิดกฎหมายอย่างเด็ดขาด รวมถึงให้กำลังใจตำรวจให้ปฏิบัติหน้าที่รักษากฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อความสงบของประเทศ ขณะเดียวกันก็เรียกร้องให้กลุ่มพันธมิตรฯยุติการชุมนุมเช่นกัน หากไม่หยุดก็จะเดินทางเข้ากรุงมาขับไล่
ที่มา: [1 ก.ย. 51 - 04:08]

วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ปชป.เตรียมเรียกประชุม ส.ส.

ปชป.เตรียมเรียกประชุม ส.ส.


พรรคประชาธิปัตย์เตรียมเรียกประชุม สส. เพื่อประเมินสถานการณ์และเตรียมอภิปรายร่วม 2 สภา ที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ หลังมีเหตุรุนแรงเมื่อวานนี้ ขณะเดียวกันตั้งข้อสังเกตุ ให้จับตามองบทบาทของหัวหน้าพรรคชาติไทย ที่เป็นผู้เรียกประชุมพรรคร่วมรัฐบาล แทนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีนายแพทย์บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยนายเทพไท เสนพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรค และ นายบุญยอด สุขถิ่นไทย สส.กทม.ได้ร่วมกันแถลงข่าวเรียกร้องให้ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีแสดงความรับผิดชอบกับเหตุการณ์รุนแรงเมื่อวานนี้ เพราะก่อนหน้านี้ นายสมัครได้มีการประกาศว่าจะไม่ใช้ความรุนแรงและจะอดทนอดกลั้น แต่ขณะเดียวกันมีการปฏิบัติตรงกันข้ามซึ่งตั้งข้อสังเกตุว่า การดำเนินการของตำรวจเป็นการฝ่าฝืนคำสั่ง หรือได้รับคำสั่งจากรัฐบาล นอกจากนี้หลังเกิดเหตุการณ์ หัวหน้าพรรค ปชป.ได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่าตำรวจได้ห้ามรถพยาบาลเข้าบริเวณที่เกิดเหตุตั้งแต่เวลา 10.00-15.00 โดยอนุญาตให้เฉพาะการ์ดอาสาของกลุ่มพันธมิตรเข้าไปรับผู้บาดเจ็บออกมาจากพื้นที่เท่านั้นซึ่งเรื่องนี้ถือว่าขัดกับหลักกฎหมายสากล เพราะแม้แต่ภาวะสงครามก็จะอนุญาตให้หน่วยแพทย์พยาบาลเข้าไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บได้ นอกจากนี้นายเทพไท ยังขอให้จับตามองการนัดประชุมของพรรคร่วมรัฐบาลเมื่อคืนนี้ ที่นายบรรหารเป็นผู้เรียกประชุม ซึ่งถือว่าเป็นการแย่งชิงภาวะผู้นำของนายสมัคร สุนทรเวช ดังนั้นจึงขอให้จับตาดูการเคลื่อนไหวของนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวพน้าพรรคชาติไทยต่อไป และขอเรียกร้องให้รัฐบาลอย่าผูกขาดการแก้ปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้เพียงฝ่ายเดียว แต่ควรที่จะให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งจะช่วยให้คลี่คลายสถานการณ์ได้ และไม่ควรใช้สื่อของรัฐในการระดมประชาชน และเห็นด้วยที่พรรคร่วมรัฐบาลจะให้มีการเปิดประชุมร่วม 2 สภาซึ่งเป็นแนวคิดของนายอภิสิทธิ์ เวชชาาชีวะ หัวหน้าพรรค ปชป.ที่เป็นผู้เสนอแนวคิดนี้เป็นคนแรก ขณะเดียวกันขอบคุณกองทัพไทยที่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย ไม่เข้าไปแทรกแซง อย่างไรก็ตามในวันนี้พรรคประชาธิปัตย์จะมีการเรียกประชุม สส. เพื่อประเมินสถานการณ์ และเตรียมพร้อมในการอภิปรายร่วม 2 สภา ที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้
(30/08/51)


วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2551

พันธมิตรฯ เกณฑ์คน 5,000 คนปิดล้อมเอ็นบีที ถ.เพชรบุรีตัดใหม่



สะพานมัฆวานรังสรรค์ 26 ส.ค.- พันธมิตรฯ เกณฑ์คน 5,000 คน ไปปิดล้อมเอ็นบีที ที่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ เป้าหมายไม่ต้องการให้เอ็นบีทีแพร่ภาพถาวร
การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ เมื่อเวลาประมาณ 13.30 น. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ได้ขึ้นเวทีอีกครั้ง ขอให้ผู้ชุมนุมจำนวน 800 คน เดินทางไปร่วมชุมนุมสมทบที่หน้าสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที วิภาวดี โดยขึ้นรถ 6 ล้อ จำนวน 4 คันที่จัดเตรียมไว้
จากนั้น นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ขึ้นเวทีประกาศยุทธศาสตร์ใหม่ จะใช้แผนนำคน 5,000 คนไปปิดล้อมสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีที่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ เพื่อปิดฉากเอ็นบีที เพราะขณะนี้ยังออกอากาศได้อยู่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ตั้งแต่ช่วงเช้า ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ซึ่งถือเป็นจุดศูนย์กลางการชุมนุม ช่วงเช้าเมื่อเวลา 07.30 น. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ สลับกันขึ้นเวทีปราศรัย โดยมีการจัดกำลังของกลุ่มผู้ชุมนุมออกเป็นชุด ๆ ละ 500 คน เพื่อกระจายไปยังจุดยุทธศาสตร์ สถานที่ราชการต่าง ๆ ที่พันธมิตรฯ จะไปปิดล้อม ทั้งทำเนียบรัฐบาล กระทรวงคมนาคม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ แยก จปร. กองบัญชาการตำรวจนครบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สถานีโทรทัศน์เอ็นบีที
หลังจากนั้น เมื่อเวลา 08.45 น. นายสนธิ กล่าวบนเวทีว่า ขณะนี้มีสื่อมวลชนเสนอข้อมูลข่าวสารคลาดเคลื่อน โดยเฉพาะช่อง 3 ดังนั้น อาจจะต้องมีการขอมติจากที่ชุมนุมว่าอาจจะต้องเดินทางไปปิดล้อมสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 จะดีหรือไม่ นอกจากนี้ ยังประกาศชัยชนะที่สามารถทำให้สถานีโทรทัศน์เอ็นบีทียุติการแพร่ภาพออกอากาศได้ช่วงหนึ่ง
และเมื่อเวลา 10.00 น. พล.ต.จำลอง กล่าวบนเวทีว่า ขอให้ทุกคนพยายามตั้งใจกู้ชาติ อย่าหวั่นไหว ให้ฟังแกนนำ และการชุมนุมที่มัฆวานฯ จะเป็นจุดศูนย์กลางใหญ่ของการนำกลุ่มผู้ชุมนุมไปเสริม ในจุดที่ปิดล้อม หากขาดกำลังคน ซึ่งไม่เกิน 4 ชั่วโมงจากนี้ พันธมิตรฯ จะได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน
ก่อนหน้านี้ พล.ต.จำลอง ได้ขึ้นเวที พร้อมประกาศให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปล่อยตัวกลุ่มพันธมิตรฯ ที่บุกสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที และถูกจับกุมไว้ หากไม่ปล่อย จะนำกำลังไปกดดันชุมนุมหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
และเมื่อเวลา 10.30 น. นายสมศักดิ์ โกศัยสุข พล.ต.จำลอง และนายสนธิ ได้หารือประเมินสถานการณ์ที่ด้านหลังเวทีพันธมิตรฯ ถึงแนวทางการเคลื่อนไหว โดยมอบหมายให้ พล.ต.จำลอง รับผิดชอบบัญชาการที่สะพานมัฆวานฯ


ที่มา:
http://news.mcot.net
อัพเดตเมื่อ 2008-08-26 14:10:26
สำนักข่าวไทย

วันจันทร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2551

พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่อังกฤษ แจงเหตุไม่มารายงานตัวต่อศาล


11 ส.ค.- พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกแถลงการณ์ชี้แจงที่ไม่ไปรายงานตัวต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งเขียนด้วยลายมือตัวเอง และส่งทางโทรสารมายังสื่อ เมื่อประมาณช่วงเที่ยงที่ผ่านมา
แถลงการณ์ดังกล่าวมีใจความว่า "ก่อนอื่น กระผมต้องกราบขออภัยต่อคณะผู้พิพากษาคดีที่ดินรัชดา และพี่น้องประชาชน ผู้สนับสนุนผมทุกท่าน ที่ผมและภริยา ได้เดินทางมาพำนักที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นประเทศที่ยึดหลักการประชาธิปไตยเหนือสิ่งอื่นใด และไม่ได้ไปรายงานตัวต่อศาลฎีกา แผนกคดีอาญา นักการเมือง
สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมและครอบครัว พร้อมกับบุคคลใกล้ชิด เป็นผลพวงต่อเนื่องมาจากความต้องการขจัดผมออกจากการเมือง ด้วยการพยายามลอบสังหาร ตามมาด้วยการปฏิวัติรัฐประหาร แต่งตั้งคณะบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์ มาสอบสวนดำเนินคดีเฉพาะตัวผมและครอบครัว ร่างรัฐธรรมนูญที่สืบทอดอำเภอเผด็จการ แต่งตั้งบุคคลที่สนับสนุนการปฏิวัติรัฐประหารทั้งทางตรงและทางอ้อม เข้าไปเป็นกรรมการในการองค์กรต่าง ๆ เพื่อดำเนินการกับผม เมื่อมีการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ประชาชนส่วนใหญ่ก็ยังคงเลือกพรรคพลังประชาชน ที่ผู้สมัครส่วนมากมาจากพรรคไทยรักไทยเดิม ให้กลับคืนมาทำหน้าที่ตัวแทนของพวกเขา
ผมคิดว่า เหตุการณ์คงจะดีขึ้น ผมคงจะมีโอกาสได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์และได้รับความเป็นธรรม จึงเดินทางกลับประเทศไทย เมื่อวันที่ 28 ก.พ.2551 แต่เหตุการณ์กลับยิ่งเลวลง เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวผมและครอบครัว เป็นเสมือนผลไม้ที่เกิดจากต้นไม้ที่เป็นพิษ ผลของมันก็ย่อมเป็นพิษตามไปด้วย นั่นก็คือ ยังคงมีการสืบทอดระบอบเผด็จการในการจัดการการเมืองไทยในระบอบประชาธิปไตย ตามมาด้วยการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม โดยเอาผลลัพธ์ที่อยากจะได้เป็นตัวตั้ง เพื่อจัดการกับผมและครอบครัว ซึ่งบุคคลกลุ่มนี้ ถือว่าผมเป็นศัตรูทางการเมือง โดยไม่คำนึงถึงระบบกฎหมาย และระบบข้อเท็จจริง และการสอบสวนดำเนินคดีตามหลักนิติธรรมสากล ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายว่าด้วยพยานหลักฐาน การบังคับใช้กฎหมายที่มีผลเป็นโทษย้อนหลัง ไม่ยอมใช้หลักนิติธรรม และหลักนิติรัฐ ผมและครอบครัวได้ถูกดำเนินการอย่างไม่เป็นธรรมเช่นนี้ มาอย่างต่อเนื่อง
การแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม และการใช้ระบบ 2 มาตรฐานที่เห็นได้อย่างชัดเจน ทำให้ผมและครอบครัวพร้อมด้วยผู้ที่เกี่ยวข้องไม่ได้รับความเป็นธรรมก็นับว่าหนักหนาแล้ว แต่ยังเทียบไม่ได้กับการที่ระบบกระบวนการยุติธรรมของประเทศ และองค์กรที่เกี่ยวข้องที่มีเกียรติ มีความน่าเชื่อถือ สั่งสมมาเป็นเวลานาน ต้องเสื่อมลง เพราะถูกนำมาใช้ทางการเมืองจนขาดความเป็นกลาง ซึ่งเป็นผลเสียหายต่อประเทศอย่างใหญ่หลวง
นอกจากนี้ ผมได้รับข่าวสารตลอดเวลาว่า ชีวิตของผมไม่ปลอดภัยเดินทางไปไหนมาไหน จึงต้องใช้รถกันกระสุน นี่คือผลที่ได้รับจากการที่ผมอาสาเข้ามาทำงานรับใช้ประเทศชาติ ราชบัลลังก์ และประชาชนด้วยความทุ่มเท ทำงานอย่างหนักมาตลอด ระยะเวลาเกือบ 6 ปี ที่ทำให้หน้าที่นายกรัฐมนตรี
ผมจึงต้องกราบขออภัยอีกครั้งหนึ่ง ที่ต้องตัดสินใจมาอยู่ประเทศอังกฤษ และขอยืนยันว่า
1. ผมและครอบครัวมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และพระราชวงศ์ทุกพระองค์ อย่างหาที่สุดมิได้ แม้ว่ามีผู้จงใจใส่ร้ายมาโดยตลอด
2. ถึงแม้ผมไม่ใช่คนดีสมบูรณ์แบบ แต่ผมขอยืนยันว่า ผมไม่ได้เลวอย่างที่ถูกกล่าวหา เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ผมจะแถลงความจริงให้ทุกท่านทราบ วันนี้ ยังไม่ใช่วันของผม ขอให้ผู้สนับสนุนผมอดทนอีกนิดหนึ่งครับ
3. หากผมยังมีวาสนา ผมจะขอกลับมาตายบนผืนแผ่นดินไทยเฉกเช่นคนไทยครับ
ด้วยความเคารพรัก พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร".
ที่มา
สำนักข่าวไทยอัพเดตเมื่อ 2008-08-11 12:48:31

วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2551


ศาล รธน.มีมติเอกฉันท์ กม.ปปช.ไม่ขัด รธน.50

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ กม.ป.ป.ช.ไม่ขัด รธน.ปี 50 โดย กม.กำหนดขอบเขตเหมาะสม พร้อมมีมติรับคำร้อง กกต.กรณีคุณสมบัติ "หมัก" ชิมไปบ่นไป นัดคู่กรณีตรวจพยานหลักฐานนัดแรก 21 ส.ค.นายไพบูลย์ วราหะไพฑูรย์ เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ แถลงภายหลังการประชุมคณะตุลาการ ว่า ที่ประชุมคณะตุลาการได้มีการพิจารณากรณีศาลฎีกาส่งคำโต้แย้งของ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ในกรณีที่ดินรัชดาฯ ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 211 ว่า พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่า การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 4 ,100 ,122 ขัดหรือแย้งกับมาตรา 29 , 50 ของรัฐธรรมนูญ 40 หรือไม่ และขัดหรือแย้งกับมาตรา 3 ,38 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2549 และขัดหรือแย้งกับมาตรา 26 , 27 , 28 , 29 , 39และ 43 ของรัฐธรรมนูญ 50 หรือไม่ ซึ่งที่ประชุมศาลรัฐธรรมนูญ ได้พิจารณาแล้วมีมติเป็นเอกฉันท์ ว่ามาตรา 4 ,100 ,122 ของพ.ร.บ.ป.ป.ช. ไม่ขัดหรือแย้งต่อมาตรา 26 , 27 , 28 , 29 , 39 และ 43 ของรัฐธรรมนูญ 50 นายไพบูลย์ กล่าวถึงเหตุผลว่า เนื่องจากบทบัญญัติแห่งกฎหมายป.ป.ช.ทั้ง 3 มาตรา มีเนื้อหาสอดคล้องกับหลักการสำคัญของรัฐธรรมนูญ เพื่อป้องกันแก้ไขปัญหาการทุจริตประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง รวมทั้งยังบัญญัติทางแก้ไขเพื่อความเป็นธรรมไว้ด้วยว่า หากเจ้าหน้าที่รัฐผู้ใดพิสูจน์ได้ว่าตนไม่มีส่วนรู้เห็นยินยอมด้วยในการกระทำของคู่สมรสให้ถือผู้นั้นไม่มีความผิด ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวนั้น ถือว่ามีขอบเขตที่พอเหมาะพอควร สมเหตุสมผล ไม่เป็นการล่วงละเมิดต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ จำกัดสิทธิเสรีภาพเกินจำเป็นแต่อย่างใด ส่วนที่คู่กรณีโต้แย้งมาตราอื่นว่าขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ 40 และรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 49 นั้น ตุลาการเห็นว่ารัฐธรรมนูญทั้ง 2 ฉบับได้เลิกใช้ไปแล้ว ประกอบกับบทบัญญัติที่โต้แย้งก็คือบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 50 จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย

ที่มาของข่าว http://www.tv3.co.th/becnews/data/political.html

วันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ร.ต.อ.เฉลิมไม่น้อยใจถูกปรับออกเตรียมหันกลับมาดูภาพพจน์ตัวเอง


บางบอน 3 ส.ค. – “ร.ต.อ.เฉลิม” เปิดใจนายก ฯ ยกหูแจ้งเหตุจำเป็นต้องปรับออกโดยต่อรองให้นั่งรองประธานสภาฯ แต่ไม่สน ขอเป็น ส.ส.ธรรมดา ยืนยันไม่น้อยใจหรือโกรธนายกฯ เตรียมหันมาดูเรื่องภาพพจน์ตัวเองหลังคนในพรรคบอกภาพพจน์ไม่ดี ประชดหากจะให้ช่วยปราศรัยหาเสียงต้องยืนยันก่อนว่ามีภาพพจน์ดี พร้อมยืนยันไม่เคยใช้ความรุนแรงและไม่เกี่ยวม็อบพันธมิตรฯ ที่อุดรฯ ถูกตี
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แถลงแสดงความยินดีกับนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีที่ประสบความสำเร็จในการปรับคณะรัฐมนตรี และขอแสดงความยินดีกับอดีตรัฐมนตรีเก่าที่ได้กลับมาปฎิบัติหน้าที่ใหม่ รวมทั้งรัฐมนตรีใหม่ และขออวยพรให้นายกรัฐมนตรีประสบความสำเร็จในการบริหารบ้านเมืองภายใต้รัฐบาลใหม่ อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าในตอนแรกนายกรัฐมนตรีไม่ได้บอกว่า จะปรับออกจากตำแหน่ง จนกระทั่งมีข่าวออกมา นายกรัฐมนตรีจึงได้โทรศัพท์มาบอกว่า มีเหตุผลและความจำเป็นต้องปรับคณะรัฐมนตรี แต่อยากให้ไปช่วยทำงานฝ่ายนิติบัญญัติ คือ ให้ทำหน้าที่รองประธานสภาผู้แทนราษฎร แต่ได้บอกไปว่าไม่ถนัด เพราะชอบพูดให้คนอื่นฟัง แล้วจะมาให้นั่งฟังคนอื่นพูดได้อย่างไร
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่าได้บอกให้นายกรัฐมนตรีปรับตนออกไปเลย ตนไม่มีอะไรโกรธเคือง หรือน้อยใจ และไม่คิดว่านายกรัฐมนตรีกลั่นแกล้งหรือมีกลุ่มใดมากดดัน เพราะเต็มใจ และหลังจากนี้ไปจะทำหน้าที่ ส.ส.พรรคพลังประชาชน ทำงานให้พรรคและบ้านเมือง แต่ต้องหันมาดูตัวเองเรื่องภาพพจน์ เพราะคนในพรรคบอกว่า ถูกปรับออกเพราะภาพพจน์ไม่ดี และหากจะให้ไปช่วยปราศรัยให้พรรค จะต้องบอกกับสังคมว่า ถ้าตนไม่ไปแล้วต้องจ้างคนฟัง หากคนไม่มาฟัง พรรคจะแพ้เลือกตั้ง ต้องประกาศเช่นนี้ ตนจึงจะไปช่วย เพราะกลัวภาพพจน์ไม่ดีภายหลังการเลือกตั้งอีก
“ทุกเวทีปราศรัย ถ้าผมไม่ไปแล้วจะเป็นจะตาย แต่กลับมาวิพากษ์วิจารณ์ว่าผมภาพพจน์ไม่ดี ก็ไม่เป็นไร ผมจะได้จดจำและกลับมาทบทวนตัวเองว่า จากนี้ต่อไปใครเขาเชิญไปปราศรัย ก็ให้ดูเงาหัวตัวว่าเราภาพพจน์ไม่ดี วิธีการต้องบอกคนมาชวนว่าเดี๋ยวคุณเสียนะ เดี๋ยวคุณเอาคนภาพพจน์ไม่ดี คุณต้องแถลงข่าวหากจะเชิญผมลงพื้นที่ปราศรัย ต้องบอกสื่อมวลชนว่า ร.ต.อ.เฉลิมภาพพจน์ดี ไปแล้วประชาชนจะฟัง ไม่เช่นนั้นผมกลัวภาพพจน์ไม่ดี ที่ผมเรียนไม่ได้น้อยเนื้อต่ำใจ การเมืองไม่ใช่เรื่องของการน้อยใจ การเมืองเป็นเรื่องของการทำความเข้าใจ ผมย้ำอีกครั้งว่า ผมไม่มีวันโกรธเคืองนายกฯ สมัคร เพราะมิตรภาพอันยาวนาน ความผูกพันเกือบ 30 ปี บนเวทีการเมือง เล่นการเมืองควบคู่กันมา ผมเชื่อท่านมีเหตุผลในการปรับคณะรัฐมนตรี และเรียนว่าผมเต็มใจเป็นอย่างยิ่งที่ถูกปรับออก ไม่มีน้อยอกน้อยใจ ไม่มีกรณีจะต้องฝากงานรัฐมนตรีคนใหม่ เพราะอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนที่นายกฯเลือกมาต้องมีความเหมาะสม ต้องเก่ง อย่างน้อย ๆ ต้องเก่งกว่าผมอย่างแน่นอน ถ้าไม่เก่งนายกฯ สมัครคงไม่คัดเลือกมา” ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
สำหรับกรณีที่มีข่าวว่านายเนวิน ชิดชอบ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยอยู่เบื้องหลังการปรับ ครม.ในครั้งนี้นั้น ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ไม่กล้าปักใจเชื่อ และไม่กล้าบอกว่าไม่เชื่อ เหตุที่ไม่ทราบเพราะไม่สนิทกับนายเนวิน ไม่เคยถามนายเนวิน และนายเนวินไม่เคยมาบอก จึงไม่ทราบว่า นายเนวินมีอิทธิพลมากน้อยแค่ไหน และโดยมารยาทก็ไม่ได้ถามนายกรัฐมนตรี เพราะหากถามจะกลายเป็นว่า เรามองนายกรัฐมนตรีเป็นเด็ก ให้คนมามีอิทธิพล
กรณีที่คณะรัฐมนตรีใหม่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าหน้าตาไม่ดีนั้น ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ตนยังอยู่ในพรรคพลังประชาชน หากคิดเช่นนั้นจะแปลว่าตนตีรวน อย่าไรก็ตาม ในทางการเมืองหน้าตาของรัฐมนตรีดีหรือไม่ ตนไม่ทราบ และขอยืนยันเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตว่า ตนมี 100 บวก ไม่เคยทุจริต ที่ผ่านมาไม่เคยใช้รถประจำตำแหน่ง รวมทั้งไม่รับเงินราชการลับ เวลาไปตรวจราชการต่างจังหวัดไม่เคยเบิกเบี้ยเลี้ยงให้ตัวเองและคณะ ค่าโดยสารเครื่องบิน รวมถึงรถไฟและค่าน้ำมันรถก็ไม่เคยเบิกแม้แต่สตางค์เดียว และในการแต่งตั้งโยกย้ายที่ผ่านมาไม่เคยยึดพวกใคร แต่เอาคนมีความรู้ความสามารถ คิดถึงความรุ่งเรืองของกระทรวงเป็นหลัก เพราะตนมีหิริโอตัปปะ มีความละอายต่อบาป
ส่วนกรณีที่ไม่โยกย้ายปลัดกระทรวงและอธิบดีบางกรมทำให้มีบางคนไม่พอใจหรือไม่นั้น อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ไม่ทราบ แต่สาเหตุที่ไม่โยกย้ายเพราะต้องการให้โอกาสทำงาน ทั้งนี้ไม่ขอบอกว่า ที่ผ่านมามีใครมาขอร้องอย่างไรบ้าง แต่ไม่เคยสนองตอบ และปฏิบัติด้วยความชอบธรรม นอกจากนี้ยังมีเรื่องการเปลี่ยนแปลงงบประมาณของกรมการปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งตอนที่มารับตำแหน่งมีการจัดงบประมาณและกระจายไปแล้วร้อยละ 70-80 แต่มีบางส่วนอยากให้เปลี่ยนใหม่ โดยการยกเลิกสัญญา ซึ่งตนทำไม่ได้ ตรงนี้อาจทำให้มีคนไม่พอใจก็ได้
“ยังมีเรื่องการขอออกสลากพิเศษ ที่ผมไม่เห็นด้วย โดยมีมูลนิธิแห่งหนึ่ง ไม่เป็นที่รู้จักทำเรื่องขอออกสลากพิเศษ 40 งวด ๆละ 300 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 12,000 ล้านบาท ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้มีหนังสือถึงเลขาคณะรัฐมนตรีให้ส่งเรื่องมาขอความเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยอ้างว่า จะนำเงินรายได้ไปช่วยพี่น้องจังหวัดชายแดนใต้ที่เดือดร้อน ซึ่งพี่น้องชาวใต้ไม่ยอมรับ เพราะชาวมุสลิมถือว่าเป็นเงินบาป โดยมีการเสนอเรื่องนี้มาถึง 7 รอบ สุดท้ายเมื่อนำเรื่องเข้า ครม. นายกรัฐมนตรีให้ถอนเรื่องออกไป ซึ่งตรงนี้อาจจะทำให้ใครพอใจหรือไม่พอใจก็ได้” ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
หากมีการปรับ ครม.อีกครั้งและเชิญให้กลับไปเป็นรัฐมนตรีจะรับหรือไม่ นั้น ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ไปบอกล่วงหน้าไม่ได้ พร้อมกับย้อนถามว่า รัฐบาลอยู่ไกลถึงขนาดนั้นหรือ และไม่กล้าบอกว่าการปรับ ครม.ครั้งนี้เป็นการเริ่มต้นหรือนับถอยหลัง

ร.ต.อ.เฉลิม ยังกล่าวถึงกระแสข่าวการให้เงินเกี่ยวโยงกับการปรับคณะรัฐมนตรีว่า ไม่เกี่ยวกัน เท่าที่ติดตามข่าวทราบว่า มีคนรับเงินจากบริษัทแห่งหนึ่ง 10 ล้านบาทเป็นบริษัทก่อสร้างที่ทำธุรกิจกับกรุงเทพมหานครแล้วนำไปเข้าบัญชีตัวเอง ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) กำลังตรวจสอบอยู่ แต่ไม่เกี่ยวข้องกับการวิ่งเต้นในการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี ดังนั้นอย่าไปโทษนายสมัครเลย
ส่วนกรณีที่มีความพยายามโยงว่าอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยอยู่เบื้องหลังความรุนแรงที่เกิดขึ้นที่จังหวัดอุดรธานีนั้น ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า วันที่ชมรมคนรักอุดรฯ มีเรื่องทำร้ายกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น ตนอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ และภาพที่โพกศีรษะด้วยผ้าแดงของชมรมคนรักอุดรฯ เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เมื่อครั้งที่เดินทางไปตรวจราชการ ซึ่งยอมรับว่ารู้จักกับคนเหล่านั้น เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นสมาชิกพรรคพลังประชาชน ซึ่งตอนไปหาเสียง คนกลุ่มนี้ก็มาฟังการปราศรัย แต่ตนไม่ได้สั่งให้คนกลุ่มนี้ไปทำร้าย และที่มีข่าวว่าหลังเกิดเหตุได้โทรศัพท์ไปแสดงความยินดีก็ไม่เป็นความจริง เพราะตนเป็นคนที่ไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรง และกรณีที่เกิดขึ้นเป็นความเข้าใจผิดของกลุ่มพันธมิตรฯ
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า เมื่อไม่เห็นด้วยกับวิธีการของพันธมิตรฯ ตนก็เพียงเถียงปากต่อปาก คำต่อคำ แต่ไม่เคยคิดร้าย และไม่เคยเห็นด้วยที่จะสลายการชุมนุม ซึ่งจะเห็นได้ว่า ตั้งแต่นายกรัฐมนตรีออกโทรทัศน์ ตนก็ออกมาคัดค้านตลอดเวลา เพราะเป็นคนไทยด้วยกัน
“ผมเรียนปราบจลาจลมาผมรู้ คนเยอะถ้าไปสลาย ก็ต้องหัวล้างข้างแตก ลักษณะการชุมนุมแบบอหิงสาอย่างนี้ การสลายการชุมนุม ผมไม่เห็นด้วย แต่ผมไม่เห็นด้วยกับการปราศรัย ไปพูดได้อย่างไร ว่าผมเป็นคนสั่งให้ตีที่จังหวัดอุดรฯ พันธมิตรฯ ค้นพบเรื่องนี้ไม่ได้ พันธมิตรฯต้องยุติการปราศรัย นี่ยังไม่รู้อีกหรือว่าใครเป็นคนสั่ง เขารู้กันทั้งนั้น ไปเสาะเอาเองก็แล้วกัน แต่ไม่ใช่ผม มันมีคนสั่ง แล้วคนสั่งไม่ใช่รัฐมนตรี ตำรวจเขาวางกำลังไว้เรียบร้อยแล้ว ไอ้พวกแอบสั่งการไปสั่ง แล้วพันธมิตรฯ ก็เข้าใจผิด ไม่ใช่ผม ผมเติบโตมาจากสายบู๊ลิ้ม เขาไม่ทำกัน นักเลงไม่ใช่โจร โจรไม่ใช่นักเลง พวกผมอยู่ในคำจำกัดความว่า นักเลงไม่ใช่โจร โจรไม่ใช่นักเลง” ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว

ส่วนคนที่สั่งเป็นคนเดียวกับที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการปรับ ครม.หรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า แสดงว่ารู้ อย่างนี้ตนไม่บอก สำหรับกรณีที่มีรายงานว่าขณะนี้แก็งออฟโฟร์ยึดพรรคพลังประชาชนแล้วนั้น ร.ต.อ.เฉลิม ย้อนถามว่ามีใครบ้าง แต่ไม่เป็นไร หากเขายึดไปได้จริง ตนคงต้องทบทวนแนวคิดทางการเมืองใหม่ แต่จะเป็นแบบใดยังบอกไม่ได้ เพราะถ้าฝนยังไม่ตก อย่าเพิ่งกางร่ม. - สำนักข่าวไทย
ที่มาของข่าว

วันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

พปช. ลอยแพ นพดล ชี้ ครม. ไม่เกี่ยว ไม่ต้องรับผิดชอบ



สรุปประเด็นข่าวโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบจาก กระทรวงวัฒนธรรม

หลังจากที่ศาลธรรมนูญวินิจฉัยว่า การไปเซ็นลงนามแถลงการณ์ร่วมกับกัมพูชา ของนายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ผิดต่อมาตรา 190 รวมทั้งคดีอาญา 119 ซึ่งประเด็นนี้ทำให้หลายคนวิตกกังวลว่าอาจทำให้มีผลต่อคณะรัฐมนตรีทั้งคณะนั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้นายสามารถ แก้วมีชัย ประธานวิปรัฐบาล กล่าวว่า หากในที่สุดแล้วคณะรัฐมนตรีต้องยุติบทบาทจากกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การออกแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทยกับกัมพูชาโดยไม่ผ่านรัฐสภานั้นผิดมาตรา 190 ถ้ามองถึงกระบวนการในสภานั้นก็คงต้องเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่ ในกรณีที่ผู้บริหารประเทศบกพร่องไม่สามารถบริหารต่อไปได้ เพราะหากอยู่ทำงานต่อไปก็คงต้องมีการยื่นถอนถอน ประเด็นนี้ตนตั้งข้อสังเกตว่าด้วยข้อจำกัดของรัฐธรรมนูญ 50 ทำให้เกิดปัญหาในการทำงานของฝ่ายบริหาร ส่วนที่มี ส.ส. ในพรรคเสนอให้มีการยุบสภา เพื่อแก้ปัญหาทางการเมืองนั้น ตนเห็นว่าการยุบสภาไม่สามารถหนีคดียุบพรรคได้ มันคนละส่วนกัน

ด้านนายพีระพันธ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร ในฐานะฝ่ายกฎหมายของพรรค กล่าวว่า กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติว่าการออกแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทยกับกัมพูชาโดยไม่ผ่านรัฐสภานั้นผิดมาตรา 190 ตรงนี้ชัดเจนว่าไม่เกี่ยวกับการทำหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ เพราะมติคณะรัฐมนตรีก็ต้องฟังข้อมูลของกระทรวงการต่างประเทศ ก่อนหน้าที่ศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่งคราวนั้น คณะรัฐมนตรีก็ได้ทำตามแล้ว ตรงนี้คณะรัฐมนตรีจึงไม่ต้องรับผิดชอบ คนที่รับผิดชอบคือรัฐมนตรีผู้เดียว

ด้านนายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณีแถลงการณ์ร่วมขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ว่าในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่เห็นว่าเป็นเรื่องที่ศาลวินิจฉัยชี้ชัดว่าสัตยาบันที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศลงนามยังไม่สมบูรณ์ ซึ่งเราก็ไม่ได้อ้างสัตยาบันนั้นอยู่แล้ว เพราะคำสั่งศาลปกครองเราไปอ้างไม่ได้ แต่แม้เราอ้างไม่ได้เขาก็นำไปขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้ว

มีการเรียกร้องให้คณะรัฐมนตรีแสดงความรับผิดชอบกับเรื่องที่เกิดขึ้น?

นายชูศักดิ์ : ผมต้องถามว่าให้รับผิดชอบอย่างไรต่ออะไร มีความเสียหายอะไร ต้องถามก่อน แน่นอนความรับผิดชอบต้องมีหลายระดับ ซึ่งคิดว่าเราได้ใช้ระมัดระวังดีแล้วหรือยัง ทางกระทรวงต่างประเทศที่ได้เสนอเรื่องนี้มา กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย รวมทั้งกฤษฎีกาก็บอกว่าไม่เข้าข่ายมาตรา 190 ทางคณะรัฐมนตรีก็ดูกันด้วยความรอบคอบ เรื่องนี้เป็นเรื่องของการตีความทางกฎหมาย เมื่อไม่เห็นว่าเข้าข่ายมาตรา 190 คณะรัฐมนตรีก็ดำเนินการต่อไป

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศควรต้องแสดงความรับผิดชอบหรือไม่?

นายชูศักดิ์ : การรับผิดชอบต้องแสดงว่าบ้านเมืองต้องเสียหาย แต่ความเสียหายขณะนี้คืออะไร ตนได้เรียนไปแล้วว่าปราสาทเป็นของกัมพูชา เขาขึ้นทะเบียนได้ ดินแดนไทยไม่ได้เกี่ยวข้อง เราไม่ได้เสียดินแดน แล้วเราเสียหายอะไร ถ้าเสียหายตน และคณะรัฐมนตรียินดีรับผิดชอบ

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ระบุว่าสิ่งที่คณะรัฐมนตรีทำขัดรัฐธรรมนูญยังไม่ถือว่าเป็นความเสียหายอีกใช่หรือไม่?

นายชูศักดิ์ : ก็กฎหมายเขียนว่า ส่อว่าจงใจไม่ทำตามรัฐธรรมนูญ สื่อเข้าใจคำว่าจงใจหรือไม่ ทั้งนี้ปัญหาข้อกฎหมายของบ้านเมืองเป็นไปได้ทั้งนั้น ศาลนั้นว่าอย่างนี้ ศาลนี้ว่าอย่างนั้น ครั้งหนึ่งอาจจะตัดสินอย่างนี้ แต่อีกครั้งหนึ่งอาจจะตัดสินอีกอย่าง

นายกรัฐมนตรีได้พูดเรื่องอนาคตทางการเมืองในคณะรัฐมนตรีหรือไม่?

นายชูศักดิ์ : นายกรัฐมนตรีเพียงแต่พูดประเด็นทางกฎหมายว่าถ้าเขายื่นถอดถอนกัน คณะรัฐมนตรีจะต้องดำเนินการอย่างไร ซึ่งตนก็แจ้งให้ทราบ และคณะรัฐมนตรีก็ไม่ได้วิตกอะไร

หาก ส.ว. ส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. และชี้มูลว่าขัดรัฐธรรมนูญจริง จะทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมืองหรือไม่?

นายชูศักดิ์ : ก็ต้องดูกันไปเพราะในรัฐธรรมนูญระบุไว้ว่าเมื่อมีการร้อง ประธานวุฒิสภาก็ต้องส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. เมื่อ ป.ป.ช. ได้ไต่สวนและชี้มูล คณะรัฐมนตรีต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที และส่งให้ ส.ว. ถอดถอน โดยใช้เสียง 3 ใน 5 ซึ่งประเด็นนี้คณะรัฐมนตรีก็ห่วงว่าบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร แต่ตนก็บอกว่าให้ทำใจดีๆ เพราะกฎหมายใช้คำว่า ส่อว่าจงใจไม่ทำตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งถ้าตีความอย่างนั้นก็ช่วยอะไรไม่ได้ในบ้านเมืองนี้

นายชูศักดิ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรียังมีมติให้มีการอุทธรณ์คำวินิจฉัยศาลปกครองกลางต่อศาลปกครองสูงสุด ซึ่งเรื่องดังกล่าวทางอัยการสูงสุดให้ความเห็นมาว่า ควรอุทธรณ์ในประเด็นอำนาจหน้าที่ของศาลปกครองที่มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว และในประเด็นที่ว่ามีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาหรือไม่ ส่วนเรื่องมาตรา 190 ก็ถือว่าจบในขั้นตอนของศาลรัฐธรรมนูญไปแล้ว

ขณะที่นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ในฐานะตัวแทน 77 ส.ว. ที่เข้าชื่อยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ซึ่งขั้นตอนต่อไปเป็นเรื่องที่รัฐมนตรีต้องรับผิดชอบทางการเมือง เนื่องจากจงใจไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ถือเป็นเรื่องจิตสำนึกและมารยาททางการเมืองที่จะต้องลาออกในทันที ในส่วนของ ส.ว. ไม่สามารถใช้สิทธิริเริ่มดำเนินการยื่นถอดถอนรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญมาตรา 271 ได้ เพราะมาตรานี้ระบุว่า ส.ส. เข้าชื่อ 1 ใน 4 หรือประชาชนเข้าชื่อ 20,000 คน ยื่นให้วุฒิสภาดำเนินการถอนถอนตามมาตรา 270 และ 274

"แต่ขณะนี้ ส.ว. กำลังหารือตามรัฐธรรมนูญมาตรา 275 โดยกล่าวโทษคณะรัฐมนตรีต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ส่งเรื่องไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในข้อหาไม่ปฏิบัติตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 และผิดตามประมวลกฎหมายอาญา(ป.วิอาญา) มาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติตามหน้าที่ และพิจารณาว่าจะเข้าข่ายขัดต่อ ป.อาญา มาตรา 119 และ 120 โทษสูงสุดคือ จำคุกตลอดชีวิต หรือประหารชีวิต หรือไม่ ซึ่ง ส.ว. จะร่วมยกร่างกล่าวโทษและรวบรวมเรื่องทั้งหมด โดยจะทำให้สำเร็จโดยเร็วที่สุด แต่ทั้งนี้ต้องรอคำวินิจฉัยกลางก่อน" นายคำนูณ กล่าว

ส่วนนายวรินทร์ เทียมจรัส ส.ว.กรุงเทพมหานคร กล่าวเช่นเดียวกันว่า ถ้าพิจารณาตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน คณะรัฐมนตรีทั้งชุดจะต้องร่วมกันแสดงความรับผิดชอบ หรือที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่า ตายยกรัง เพราะเป็นการยกประโยชน์ให้กับประเทศกัมพูชา อย่างไรก็ตามต้องไปตรวจสอบว่าในวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติดังกล่าว มีรัฐมนตรีหรือผู้เกี่ยวข้องคนใดทักท้วงบ้าง หากไม่ทักท้วงก็ตายยกรัง

ขณะที่นายสมชาย แสวงการ ส.ว.กรุงเทพมหานคร กล่าวอีกว่า นายนพดลสามารถที่จะบรรเทาปัญหาให้คณะรัฐมนตรี หากไม่สะดวกในการเดินทางกลับประเทศ ขอให้ส่งใบลาออกให้กับนายกฯ ได้ เพราะนายนพดลเคยประกาศจะรับผิดชอบ ดังนั้นสิ่งที่นายนพดลต้องรับผิดชอบคือ การลาออก ถ้ากังวลว่าจะถูกปิดล้อมที่สนามบินก็ไม่ต้องกลับมา อาจไปลงที่พนมเปญหรือเกาะกงก็ได้


แหล่งข้อมูล
คมชัดลึก

วันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

“พันธมิตรฯ” ยื่น "ปธ.วุฒิฯ" ถอดถอน ครม.ทั้งคณะ ฐานจงใจขัด รธน.



แกนนำพันธมิตรฯ ยื่นหนังสือถอดถอนคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ ต่อ ปธ.วุฒิบ่ายนี้ ฐานจงใจขัด รธน.แถลงการณ์ร่วมปราสาทพระวิหาร ก่อนล่า 20,000 รายชื่อ พร้อมเรียกร้อง “ปองพล” แสดงสปิริตด้วยการลาออก

วันนี้ (11 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภา เวลา 14.00 น. วันที่ 11 ก.ค. แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประกอบด้วยนายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายพิภพ ธงไชย นายสุริยะใส กตะศิลา นายศิริชัย ไม้งาม เข้าพบนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภาเพื่อแสดงตนเบื้องต้นใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 270 เพื่อถอดถอนคณะรัฐมนตรีภายใต้การนำของนาย สมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีทั้งคณะ

“เมื่อแสดงตนเสร็จ จะรวบรวมรายชื่อประชาชนให้ครบ 20,000 รายชื่อ หากรัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติให้ถอดถอนคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ ก็จะถอดถอนเป็นรายบุคคล ซึ่งเป็นผู้ที่เข้าร่วมประชุมและมีมติในวันดังกล่าว” นายพิภพ กล่าว

นายพิภพ กล่าวว่า คณะรัฐมนตรีควรมีมติไม่ยอมรับมติคณะกรรมการมรดกโลก กรณีคณะกรรมการร่วม 7 ประเทศ ที่เข้ามาบริหารจัดการพื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหาร เพราะหากยอมรับมติดังกล่าวเท่ากับยอมรับการดูแลดินแดนที่เป็นอธิปไตยของไทย เพราะองค์กรดังกล่าวไม่เหมือนกับคำพิพากษาของศาลโลก ที่ไทยได้สงวนสิทธิ์ในการโต้แย้งไว้ และจะทำให้กลายเป็นปัญหาในอนาคตได้ และอยากให้ นายปองพล อดิเรกสาร รับผิดชอบในเรื่องดังกล่าว ด้วยการลาออกจากตำแหน่งประธานคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก เพื่อเป็นการแสดงสปิริต

ด้านนายสมศักดิ์ กล่าวว่า พฤติการณ์ของคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลนาย สมัคร สุนทรเวช ที่เห็นชอบให้นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไปลงนามในเอกสารแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาในการสนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ซึ่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาว่า เป็นหนังสือสัญญาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน แต่คณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกลับมิได้ดำเนินการ แม้มีเสียงคัดค้านจากสังคมก็ตาม นอกจากนี้ การดำเนินของคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลนายสมัคร ยังเป็นไปแบบเร่งรีบ ปกปิด และไม่โปร่งใส จนเปิดช่องและเอื้อประโยชน์ ให้รัฐบาลกัมพูชาสามารถขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกแต่เพียงฝ่ายเดียว จนเป็นผลสำเร็จท่ามกลางความผิดหวังของประชาชนคนไทย ดังนั้นเมื่อพิจารณาพฤติการณ์การบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ถือเป็นการดำเนินการที่ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 270

“พฤติการณ์ทั้งหมดของรัฐบาลจำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบตามรัฐธรรมนูญ เพื่อนำไปสู่การถอดถอนออกจากตำแหน่งแกนนำจึงขอแสดงตนต่อประธานวุฒิสภาเป็นผู้ริเริ่มขอใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 164 เพื่อให้วุฒิสภา มีมติตามมาตรา 274 ให้ถอดถอนบุคคลตามมาตรา 270 ออกจากตำแหน่งต่อไป ทั้งนี้ที่ยื่นถอดถอนรัฐมนตรีทั้งคณะ รัฐมนตรีที่ไม่ได้ร่วมประชุมครม.เพื่ออนุมัติการไปลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาในการประชุมครม.วันที่ 17 มิถุนายน ก็ต้องไปชี้แจงต่อ ป.ป.ช.เพื่อให้ป.ป.ช.พิจารณาเอง และในวันเสาร์-อาทิตย์ นี้ กลุ่มพันธมิตรฯจะรวบรวมรายชื่อให้ครบ 20,000 ชื่อ เพื่อยื่นต่อประธานวุฒิสภาภายในวันที่ 15 กรกฎาคม เวลา 13.00 น.

ด้านนายประสพสุข กล่าวว่า เมื่อยื่นรายชื่อมาก็จะตรวจสอบ โดยจะส่งไปที่ฝ่ายทะเบียน กรมการปกครองกระทรวงมหาดไทย และ กกต.ตรวจสอบความถูกต้องต่อไป จากนั้นก็จะเร่งดำเนินการตามขั้นตอน

จากนั้นนายสมศักดิ์ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมถึงกรณีที่นายสมัคร ประกาศจะไม่ยุบสภาและไม่ลาออกว่า เป็นเรื่องที่นายกฯไม่คำนึงถึงจริยธรรมทางการเมือง ปกตินักการเมืองทั่วโลกเมื่อมีข้อมูลออกมาแบบนี้จะแสดงสปิริตลาออก แต่นักการเมืองไทยไม่มีจิตสำนึก พันธมิตรฯจึงดำเนินการถอดถอนและดำเนินคดีอาญา การที่รัฐบาลและรมว.ต่างประเทศดำเนินการขัดรัฐธรรมนูญ จึงถือว่านิติกรรมเป็นโมฆะ เหมือนกรณีนาย ไชยา สะสมทรัพย์ อดีตรมว.สาธารณสุข ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี ก็ถือว่าเป็นโมฆะตั้งแต่รับตำแหน่ง กรณีนี้ก็เช่นกัน การไปลงนามในแถลงการณ์ร่วมจึงเป็นโมฆะ ทั้งนี้ปราสาทพระวิหารเป็นของไทย และไทยสามารถเอาคืนได้ตลอด แต่เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม นายนพดล ไปสนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารที่ฝรั่งเศส จากนั้นก็มาขอมติครม.เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน และวันที่ 18 มิถุนายน จึงไปลงนามในแถลงการณ์ร่วม เป็นการผิดซ้ำซาก แล้วยังมายืนยันว่าไม่ได้ทำผิดหลังจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ถือว่าไม่รู้จักถูกผิดชั่วดี เหมือนไม่ยอมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

เมื่อถามว่า นายกฯอ้างว่า ลาออกแล้วจะเป็นสุญญากาศทางการเมือง นายสมศักดิ์ กล่าวว่า การลาออกทำได้ และไม่ได้ติดล็อกอะไร เรื่องนี้มีทางออกตามกลไกอยู่แล้วโดยมีคนใหม่ไปทำหน้าที่ได้ สุญญากาศเกิดขึ้นสามารถแก้ไขได้ และถ้าไม่มีรัฐบาลนี้ประเทศชาติก็ยังเดินหน้าไปได้และจะเจริญยิ่งกว่า เมื่อถามต่อว่า ฝ่ายรัฐบาลมีท่าทีเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า พันธมิตรฯจับตาดูอยู่แล้ว และถ้าดำเนินการพันธมิตรฯก็จะต่อต้านจนถึงที่สุด ทั้งนี้ก่อนหน้านี้กรณีที่มีสมาชิกรัฐสภาจำนวนกว่า 160 คน เข้าชื่อยื่นญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 50 พันธมิตรฯได้รวบรวมรายชื่อประชาชนยื่นถอดถอนไปแล้ว ซึ่งกำลังอยู่ในกระบวนการพิจารณาของป.ป.ช.ถ้ามีการชี้ว่ามีมูล สมาชิกจำนวนดังกล่าวก็ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งคงไม่ทันที่จะมีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ

เมื่อถามว่า นายกฯ ระบุว่า จะเปิดเผยผู้อยู่เบื้องหลังการโค่นล้มรัฐบาล นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เปิดไปเลย ขอให้รีบพูดในรายการสนทนาประสาสมัครในวันอาทิตย์ ไหนๆ จะโดนดำเนินการอยู่แล้ว ไม่แน่อาทิตย์นี้นายกฯ อาจได้พูดเป็นครั้งสุดท้าย


แหล่งที่มา :
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9510000081687

วันพุธที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2551

แนะนำสมาชิกภายในกลุ่ม

Welcome To Cats-Society Blog


=^_^=



ชื่อ: นาย พลวัฒน์
นามสกุล: สุวรรณคำมูล
ชื่อเล่น: เบียร์
อายุ: 18 ปี
เกิดวันที่: 10 มีนาคม 2533
กรุ๊ปเลือด: O
สำนักวิชา: นิติศาสตร์
สาขาวิชา: นิติศาสตร์
รหัสนักศึกษา: 5131601420
ความสามารถพิเศษ: เทควันโด
กีฬาที่ชอบ: เทควันโด
สีที่ชอบ: เหลือง , เขียว
กิจกรรมยามว่าง: คิดถึงคนอื่นเรื่อยเปื่อย
อาชีพที่ใฝ่ฝัน: อัยการ
คติประจำใจ: ก้าวสั้นและมั่นคง ดีกว่าล้มลงเพราะก้าวยาว
อีเมล์: ponlawat_lc@hotmail.com


ชื่อ: นาย ชำนะพล
นามสกุล: สร้อยเกียว
ชื่อเล่น: โน้ต
อายุ: 18 ปี
เกิดวันที่: 10 ตุลาคม 2532
กรุ๊ปเลือด: B
สำนักวิชา: นิติศาสตร์
สาขาวิชา: นิติศาสตร์
รหัสนักศึกษา: 5131601302
ความสามารถพิเศษ: เล่นกีต้าร์
กีฬาที่ชอบ: ฟุตบอล
สีที่ชอบ: น้ำตาล
กิจกรรมยามว่าง: เล่นดนตรี
อาชีพที่ใฝ่ฝัน: อัยการ
คติประจำใจ: จงมองฟ้า ในขณะที่เท้าติดดิน
อีเมล์:
note51@hotmail.com


ชื่อ: นาย สุรชัย
นามสกุล: เอี่ยมแตง
ชื่อเล่น: แบงค์
อายุ: 18 ปี
เกิดวันที่: 10 เมษายน 2533
กรุ๊ปเลือด: O
สำนักวิชา: นิติศาสตร์
สาขาวิชา: นิติศาสตร์
รหัสนักศึกษา: 5131601547
ความสามารถพิเศษ: เล่นกีต้าร์
กีฬาที่ชอบ: เทนนิส , รักบี้
สีที่ชอบ: ม่วง
กิจกรรมยามว่าง: ฟังเพลงนอนหลับฝันดี
อาชีพที่ใฝ่ฝัน: อัยการสูงสุด
คติประจำใจ: เกิดมาคนเดียวก็ตายไปคนเดียว
อีเมล์: loveu-jung@hotmail.com
ชื่อ: นาย สถิต
นามสกุล: ตามูล
ชื่อเล่น: ปลั๊ก
อายุ: 18 ปี
เกิดวันที่: 26 มกราคม 2533
กรุ๊ปเลือด: A
สำนักวิชา: นิติศาสตร์
สาขาวิชา: นิติศาสตร์
รหัสนักศึกษา: 5131601519
ความสามารถพิเศษ: แชมป์ว่าว
กีฬาที่ชอบ: ฟุตบอล , บาสเก็ตบอล
สีที่ชอบ: น้ำตาล , ฟ้า , ดำ , ขาว
กิจกรรมยามว่าง: ฟังเพลง , เล่นเกมส์ , ดูหนัง , นอน
อาชีพที่ใฝ่ฝัน: ตำรวจ
คติประจำใจ: ทำวันนี้ให้ดีที่สุด
อีเมล์: cm_plug_wl@hotmail.com


ชื่อ: นายปฏิภาณ
นามสกุล: โกสินทร์
ชื่อเล่น: ตั้ม
อายุ: 19 ปี
เกิดวันที่: 11สิงหาคม 2532
กรุ๊ปเลือด: A
สำนักวิชา: นิติศาสตร์
สาขาวิชา: นิติศาสตร์
รหัสนักศึกษา: 5131601382
ความสามารถพิเศษ: กีฬาฟุตบอล
กีฬาที่ชอบ: ฟุตบอล
สีที่ชอบ: น้ำเงิน , เลือดหมู
กิจกรรมยามว่าง: ฟังเพลง
อาชีพที่ใฝ่ฝัน: อัยการ , ตำรวจ
คติประจำใจ: ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว
อีเมล์: kadiator_tump@hotmail.com


ชื่อ: นาย ธนพงศ์
นามสกุล: วงค์เสรี
ชื่อเล่น: ท๊อฟฟี่
อายุ: 19 ปี
เกิดวันที่: 10 ตุลาคม 2532
กรุ๊ปเลือด: O
สำนักวิชา: นิติศาสตร์
สาขาวิชา: นิติศาสตร์
รหัสนักศึกษา: 5131601382
ความสามารถพิเศษ: กีฬาฟุตบอล
กีฬาที่ชอบ: ฟุตบอล
สีที่ชอบ: แดง
กิจกรรมยามว่าง: อ่านหนังสือ , ฟังเพลง
อาชีพที่ใฝ่ฝัน: นักกฎหมาย
คติประจำใจ: ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
อีเมล์: topphy_n10@hotmail.com
ชื่อ: นาย กชมนณ์
นามสกุล: สุวรรณะดิษฐกุล
ชื่อเล่น: ก็อต
อายุ: 19 ปี
เกิดวันที่: 04/08/1989
กรุ๊ปเลือด: O
สำนักวิชา: ศิลปศาสตร์
สาขาวิชา: จีนธุรกิจ
รหัสนักศึกษา: 5131007001
ความสามารถพิเศษ: คิดวิเคราะห์เก่ง
กีฬาที่ชอบ: แบตมินตัน
สีที่ชอบ: แดง
กิจกรรมยามว่าง: อ่านหนังสือ
อาชีพที่ใฝ่ฝัน: นักธุรกิจ
คติประจำใจ: เสือเผ่น
อีเมล์: -